![]() |
| สนิท ไกรสินธุ์ |
เราเกิดมาเป็นลูกแตงปลายย่าน ตัวเล็กตัวเตี้ยเขาเรียกว่า "หนิด"เสียอีก ตอนเราจำความได้แม่ก็อายุ๔๕-๔๖ แล้ว ผมแม่เราขาวเหมือนค่างหงอก ได้ยินคนเขาพูดล้อเล่นทั้งแม่ทั้งเรากันทั่วไป พี่สาวคนเดียวของเราก็เริ่มมีคนมาขอ พี่ชายคนที่ติดกันกับเราแก่กว่าเราตั้ง ๕ปี เราเกิดมาผิดหยาม คือเขาไม่ได้ตั้งใจให้เราเกิด ชีวิตเราเริ่มต้นแบบนี้ จะมิให้เรามีความรู้สึกว่ามีปมด้อยอย่างไรไหว
บ้านสร้างใหม่ยังไม่ทันเสร็จ บ้านสูงมีบันไดทำด้วยไม้ตั้ง๙ ขั้น ตอนฝนตกใหญ่เราชอบเกาะประตูบ้านดูฝนบนเรือน จะเพราะฝนสาดบานประตูที่มือเกาะลื่น หรือเพราะเผลอไผลดูฝนดูคางคกไล่กินแมงเม่าเพลินไป จึงได้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากเรือน โชคยังดีที่เราไม่เอาหัวลงแทกดินก่อนจนคอหัก หรือเราถูกเสียบด้วยไม้ทู้ที่เขาปักไว้วางพรกข้างไหน้ำล้างตีนข้างบันได เราจำได้ว่าเรานั่งร้องสุดเสียงอยู่กลางฝนบนดินเปียก มีคนมาอุ้มเราล้างน้ำเอาโคลนออกเสียนิดหน่อย ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อกุงเกงเพราะเด็กอายุ ๓-๔ปี อย่างเรา แต่งชุดวันเกิด เขาอุ้มเราขึ้นไปบนเรือนแล้ว เขาก็เอาไต้ส่องดู เราร้องไม่ยอมหยุด คนเขาว่าหนังถลอกนิดหน่อย เลือดออกไม่มากเอาปูนทาแผลให้ก็พอแล้ว .....ไม่เป็นอะไร
ตั้งแต่วันนั้นมา เรายืนและเดินไม่ได้ ลงจากเรือนก็ต้องมีคนอุ้ม ที่บนเรือนหรือใต้ถุนบ้านเราจะไปไหนต้องถดไปด้วยก้น ดันไปด้วยมือ และโดยมากแล้วเราต้องอยู่บนเรือน ไม้พื้นยังมิได้ตอกตาปู เสียงเราถดไปถดมาดังโครมๆอยู่ตลอดทั้งวัน เราจำได้ว่า เราถดไปดูเรือบินฝูงใหญ่สีดำขลับที่บินเหนือต้นม่วงกล้วย ริมรั้วทิศเหนือของบ้าน ตอนหลังเขาว่าเรือบินฝูงนี้ได้ไปทิ้งระเบิดทำลายสะพานรถไฟที่ท่าข้าม...
ตอนเราอยู่บนเรือนทำเสียงโครมคราม บางทีเราได้ยินเสียงคนพูดมาจากใต้ถุนว่า "เสียงหนิดมันถด" ไม่มีใครสนใจถามต่อ เพราะใครๆก็รู้ว่าเราเดินไม่ได้ ก็เด็กอื่นๆอายุเท่ากันกับเรานี้ เขาวิ่งเขาเดินเล่นสนุกหรือขี่ควายกันแล้ว เรายังเดินด้วยก้นอยู่ จะมิเราให้มีปมด้อยอย่างไรไหว
2. ลูกแอ้กินนมแม่
เราถูกคนทำสัมยาคือเราลูกคนล้อทำให้เราอาย เมื่อเราขี้อายเราก็มีปมด้อย ............. กว่าเราจะยืนเดินวิ่งได้เหมือนเด็กอื่นๆก็อาจจะหลายเดือนหรือเป็นปี ในบ้านเราเราตัวเล็กสุด พี่ๆของเราเขาโตกันหมดแล้ว เขาพูดเขาคุยกันแต่เรื่องของเขา เขาไม่พูดกับเราเพราะเราเป็นเด็ก เขาได้แต่ออกคำสั่ง และห้าม ถ้าเราพูดบ้างเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เราไม่มีความเห็นใดๆทั้งนั้น ได้แต่รับฟังแอบฟังเขาพูดตลอด เราเรียกความสนใจจากคนอื่นๆได้โดยการร้อง จริงบ้างเท็จบ้าง แต่ถ้ามีแผลได้ผลทุกที เช่นวันหนึ่งสะอื้นเด็กโตกว่าเราหลายปี หลอกให้เราแกว่งมีดโต้ในน้ำสูงแค่เข่าที่ท่าล่าง น้ำคลองเหวียดมันไหลเชี่ยว มีดโต้มันก็วิ่งกลับมาสับเข่าของเราเป็นแผลเหวอะหวะถึงกระดูก เลือดสาดเป็นทาง พี่ชายเราว่ายน้ำข้ามคลองไปขุดดินเหนียวแล้วเอามาอุดแผล แต่เลือดไหลไม่หยุด เราร้องวิ่งกลับบ้าน คนวิ่งมาดู เขาเอาปูนยีกับใบผักคราดในมือพอเป็นเปือกแล้วอุดแผลให้ กว่าแผลจะหายก็หลายอาทิตย์ สะอื้นตายนานแล้ว แต่แผลเป็นยาว ๒ นิ้วที่เข่าของเรายังอยู่ เราเห็นแผลทีไร เราคิดถึงสะอื้นเด็กกำพร้าหลานป้าชื่น
งานรดน้ำพระตอนสงกรานต์ที่วัดสีฆ้องมีคนมากเต็มลานวัด ที่จริงวัดนี้ก็คือลานหญ้าเฉยๆ มีต้นม่วงคันต้นตาล ไม่มีกุฏิไม่มีพระอยู่ วันนั้นบุญเมืองเด็กหญิงลูกผู้ใหญ่เตี้ยมอายุเท่ากันกับเรา เธอนั่งอยู่ในกลุ่มพ่อแม่ญาติของเขาไม่ไกลจากกลุ่มของเรามากนัก มีคนเอาดอกเข็มใส่ในมือเรา แล้วสั่งเราว่าช่วยเอาดอกไม้นี้ไปให้เด็กหญิงที่ใส่เสื้อสีแดงคนนั้นที เขาว่าแล้วก็ชี้ไปที่ ด.ญ.บุญเมืองคนนั้น คนอื่นๆเขานั่งกันทั้งนั้น เรายืนและเดินคนเดียว แถมมือเรายังถือดอกไม้แดงอีก คนทั้งหลายก็จ้องมาที่เรา คนเงียบกริบ เราไม่รู้เรื่อง เรายื่นดอกเข็มให้ด.ญ.บุญเมือง เธอก็รับไว้ในมือเธอ เสียงคนโห่คนตบมือดังขึ้น เราวิ่งกลับมาที่แม่ รู้สึกว่าหน้าเราแดงด้วยความอาย ตั้งแต่วันนั้นมา ใครๆก็ว่าเราได้หมั้นบุญเมืองแล้ว กว่าเราจะกล้าพูดกับบุญเมืองก็เมื่อเธอมีลูกถึง ๓ คน
ลูกแม่กินนมแม่ทุกคน แต่กินได้ไม่นานเพราะพอแม่มีลูกอ่อน ลูกคนใหม่ก็ครอบครองหัวนมแม่แทนลูกคนเก่า เราเป็นลูกแตงปลายย่านถูกคนรังแกถูกหยิกถูกเขกหัวบ่อยๆก็จริง แต่นมแม่เราได้กินนานกว่าใครๆ มีคนล้อเราว่าเป็นลูกแดงบ้าง เป็นลูกแอ้บ้าง แต่เราก็ไม่แคร์ อายุเราเกือบจะเข้าโรงเรียนแล้ว เราจำได้ว่าพี่สาวเอาข้าวร้อนๆคลุกไข่ปลาช่อนป้อนให้เรากิน กินข้าวไม่พอเรายังกินนมแม่อีกด้วย แม่ต้องหย่านม แม่เอาย่านเจ็ดหมูนหนาม(บอระเพ็ด)ทาหัวนม เรากินนมแล้วขมปี๋ เราต้องเอามีดโต้ไปตัดย่านหมูนเพลิงตามรั้วรอบบ้านจนหมดสิ้น คนทั้งหมู่บ้านรู้กันไปทั่ว ตอนนั้นคนว่าเราไม่ค่อยอาย แต่พอโตขึ้นมาหน่อย คนทำสัมยาว่าเราเป็นลูกแอ้กินนมแม่ เรารู้สึกอายมาก เกิดปมด้อยในใจทุกที
3. กลัวคน
ความกลัว ไม่ว่ากลัวอะไร ทำให้คนมีจุดอ่อนหรือมีปมด้อย ครูสมัยใหม่สอนให้เด็กกล้า แต่ครูสมัยเก่าสอนให้เด็กกลัว........ เด็กที่ชอบพูดถ่อมตัวเป็นเด็กขี้กลัว กลัวว่าจะพูดเกินเลยความจริงไป กลัวเขาว่าเป็นคนขี้โม้ พ่อแม่ส่วนมากและมักจะสอนให้ลูกรู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตน อย่าขี้โม้คุยโว จัดว่าเป็นเด็กดี ที่จริงแล้วทำให้ลูกเกิดปมด้อย ตีค่าตัวเองไปแต่ทางลบ
เด็กบางคนพูดความจริง สอบได้ที่ ๑ ก็ป่าวประกาศบอกคนไปทั่ว เด็กบางคนชอบพูดอวดตัวเอง ว่าดีว่าเก่งจนเกินเลยความจริงไปบ้าง เด็กพวกนี้เป็นเด็กมีความกล้า คนทั่วไปถือว่าพวกนี้เป็นพวกขี้โม้ หรือขี้หก เหมือนหมาที่ยกหางตัวเอง แต่ที่จริงแล้วเด็กพวกนี้มีปมเด่น ภูมิใจในตัวเองตลอดเวลา ตีค่าตัวเองไปแต่ทางบวก
เราเป็นพวกเด็กขี้กลัว อยากเป็นเด็กดีตามที่คนเขาคาดหวัง เราจึงมีนิสัยกลัวมันเสียทุกอย่าง กลัวพี่ๆ พ่อ แม่ ครู พระ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนแต่งเครื่องแบบ โดยเฉพาะตำรวจ ไม่กลัวแต่คน แม้แต่ผีเราก็กลัว ใครเขายอเราว่าดีว่าเก่งเราก็อาย แต่ถ้าเขาติเรายิ่งอายมากเข้าไปอีก
ครูชมเป็นครูใหญ่ ตัวผอมเตี้ยเล็ก แต่ชอบกินน้ำเมา ตอนเย็นวันหนึ่งแกมานั่งกินน้ำหวานเมาบนเรือนกับพ่อ เรื่องน้ำเมาตอนเราเป็นเด็กพ่อเราก็เอาเหมือนกัน พอเราเห็นครูชมขึ้นบันไดหน้า เราก็หนีลงบันไดครัว พอได้ยินแกถามพ่อว่า "สนิท ไปไหน" (พูดภาษากลางเสียด้วย) เราก็วิ่งโกยลงนาข้าวบิ้งหน้าบ้าน ต้นข้าวตั้งท้องสูงท่วมหัว เราซ่อนตัวในนาได้โดยไม่มีใครเห็น เราได้ยินคนเขาพูดกันบนเรือน ดีที่ไม่มีน้ำ งูเราก็ไม่กลัวแล้ว เรานั่งและนอนที่นั่นรอเวลาครูชมกลับ แม่เรียกเราก็ได้ยิน แต่เราไม่ขาน พอเราได้ยินเสียงครูชมเดินกลับบ้านตุปัดตุเป๋บ่นพึมพำบนหัวนา เราก็ขึ้นเรือน นาฬิกาตี ๙ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน
อยู่ ป.๔แล้วครูเคลื่อนต้อยเป็นครูประจำชั้น สั่งว่าบอกอามีด้วย วันเสาร์นี้ ๕โมงเย็น ช่วยจัดชั้นสำรับกับข้าวให้ชุดหนึ่ง สนิทเอามาส่งที่โรงเรียนให้ด้วย ต้องเลี้ยงพวกศึกษาจากอำเภอ กลับถึงบ้านเราบอกแม่ คืนวันศุกร์เรานอนสับส่ายทั้งคืน เพราะเราคิดว่ามีเรื่องใหญ่ที่เราต้องทำในวันรุ่งขึ้น แม่จัดชั้นเสร็จตั้งแต่ราว ๓โมงเย็น เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็หิ้วปิ่นโตลงเรือนไปอย่างช้าๆ เดินไปตามหัวนา ในใจคิดไปแต่เรื่องจะต้องไปเจอครูชมครูเคลื่อนและครูทุกคน อีกทั้งศึกษาและข้าราชการอื่นๆอีกที่เราไม่เคยเห็น ...เป็นภาพที่น่ากลัวยิ่งนัก ยิ่งใกล้วัดเข้ามาทุกทีความกลัวยิ่งเพิ่มมากขึ้น พอถึงหน้าบ้านน้องแขหลวงรายที่บ้ายชายวัด ขาทั้ง๒ของเราไม่ยอมเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว มือที่หิ้วชั้นเปียกไปด้วยเหงื่อ แถมเหงื่อออกทั่วตัว ความกลัวคนขึ้นสุดขีด เราตัดสินใจเดินเลี้ยวขวาตามหัวนาไปทางบ้านชายท่า แล้วนั่งลงบนหัวนาตามองไปทางวัดทางโรงเรียน... หวันต่ำลงลับยอดไม้ พอเริ่มมุ้งมิ้ง เราก็วิ่งกลับบ้าน มืดพอเห็นทาง กลัวผีก็กลัว พอถึงก็ร้องไห้บอกแม่ตรงๆว่า ไปไม่ถึงวัด กลัวคน
4. ทางแยกของชีวิต
คนมีปมด้อยมักจะขาดความทะเยอทะยาน ไม่มองการณ์ไกล และไม่มักใหญ่ไฝ่สูง.............
เราจบป.๔ แล้ว เป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนเรา จะเรียนป.๕ หรือ ม.๑ ในปี๒๔๙๖ ปีที่เราจบป.๔นั้น ยังไม่มีที่ให้เรียนในตำบลเรา ใครจะเรียนต่อที่ใกล้ที่สุดก็คือ โรงเรียนราษฎร์ที่ตัวอำเภอ ไกลไปมากต้องเดินถึงครึ่งวัน
พอเริ่มปิดเทอมปลาย ใจเราคิดว่าเวลาข้างหน้าในชีวิตนี้เป็นของเราทั้งหมด พ่อถามว่าจะเรียนต่อหรืออยู่บ้านแลควายปั้นลูกสูญ(ไว้ยิงกับนู) เราตอบโดยไม่ต้องคิดมากว่า "แลควายปั้นลูกสูญ" เพราะใจเราตอนนั้นคิดว่ามันสนุกจริงๆ
คนมีปมด้อยไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ เราคิดค่าตัวของเราเอง ก็เรารู้ว่าพ่อแม่เรายากจน รู้มานานแล้ว พี่ชาย ๒คนก็กำลังไปเรียนมออยู่แล้ว พ่อแม่บ่นเรื่องค่าเทอมเราได้ยินอยู่บ่อยๆ เราไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องลำบากกับเราอีก รู้จักเห็นใจพ่อแม่ ความรู้สึกนี้เราก็ได้รับมาจากพ่อแม่เราอีกนั่นเอง
เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ปีการศึกษาใหม่ใกล้จะเริ่มแล้ว เรานึกถึงแต่ความสนุกต่างๆที่เราจะได้เล่นเพราะเราไม่ต้องไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่ก็มีเหตุให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไป
เรื่องมีอยู่ว่า น้องเชิ้มลูกน้าเสื้องแกไปได้เมียอยู่ที่เกาะหมุย คืนหนึ่งแกได้มานอนคุยกับพ่อและแม่ เมียแกชื่ออนงค์นอนที่บ้านแม่ผัวไม่ได้มาด้วย เราใกล้หลับแล้ว เกิดได้ยินน้องเชิ้มถามพ่อถึงเรื่องการเรียนต่อของเรา พ่อก็บอกตรงว่า มันชอบแลควายและยิงนก น้องเชิ้มบอกว่า "ไม่ได้ลุงยุทธ ผมจะพาหนิดไปเรียนที่เกาะหมุย อยู่กินที่บ้านผม"
ก่อนแกจะกลับไปบ้านน้าเสื้องแม่ของแกในตอนเช้า เราได้ยินแกบอกพ่อว่า แกต้องไปถามน้องนงค์เมียของแกก่อน ตอนเย็นนี้จะมาให้คำตอบ
ก็เมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากเราได้ยินเรื่องเกาะหมุย เรานอนไม่หลับเลย จะหลับลงอย่างไร ทะเลหรือเกาะเป็นอย่างไรยังไม่เคยเห็น คิดไปต่างๆนาๆ งีบไปนิดก็ฝันเห็นเกาะเห็นทะเลและปลา ไม่เคยนึกถึงเรื่องเรียน มอ ๑ นึกแต่เรื่องอยากจะได้เล่นสนุกในที่ใหม่
วันใหม่ดูเจิดจ้า ครั้นน้องเชิ้มไปบ้านแม่ของแกแล้ว พ่อถามเราว่า เชิ้มชวนไปอยู่บ้านเขาเรียน มอ ที่เกาะเอาไหม เราตอบไม่ต้องคิด "เอา เอาแน่"....ตลอดวันเราคิดเราฝันทั้งวันเรื่องสนุกที่เกาะที่ทะเลขี่เรือหาหอยปูปลา แต่ความฝันของเราก็สลาย
ไม่ทันมืดของวันนั้นน้องเชิ้มกลับมา แกพูดกับพ่อกับแม่บนเรือน เราแอบฟังอยู่ใต้ถุน จับความได้ว่า น้องอนงค์เมียของแกไม่เห็นด้วย เหตุผลอย่างไรบ้างเราไม่ฟังไม่สนใจแล้ว ตาเราลาย น้ำตาเราไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว วิมานในฝันของเราพังลงไม่ทันข้ามวัน
ไฟไหม้ฟางมันดับยาก ความอยากในใจเรามันยิ่งกว่าไฟไหม้ฟาง...หลังจากน้องเชิ้มเดินออกจากรั้วบ้านผ่าท้องนาและความมืด เราเดินตรงไปหาพ่อ แล้วบอกพ่อว่า ผมอยากเรียน มอ ....๒-๓วันถัดมาแม่บอกเราว่าท่านเหล็กให้เราไปหาท่าน ท่านจะให้ค่าเทอมปีแรก ๓ เทอมๆละ ๖๐ บาท
เราได้เลือกทางเดินใหม่ในชีวิตของเราแล้ว แต่ยังมีอุปสรรคต่างๆมากมายที่ขวางอยู่ข้างหน้า คนมีปมด้อยอย่างเราไม่รู้จักคิด และไม่เคยคิด
5. สมบัติที่พ่อแม่ให้
ปมด้อยพ่อแม่ไม่ได้ให้ ถ้าให้ก็โดยไม่ตั้งใจ.....................
พ่อแม่รักลูก จึงอบรมสอนลูกให้เป็นคนดี แต่พ่อแม่ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่จำกัด ลูกๆจึงจับผิดพ่อแม่ได้เสมอ เพราะคนรุ่นลูกวัดความถูกผิดดีชั่วด้วยความรู้ความเข้าใจของคนรุ่นลูก ความแตกต่างระหว่างรุ่นของคนจะมีไปตลอดกาล
ตอนฝนตกหนัก เราชอบเล่นกลางฝน คางคกออกมากินแมงเม่าและยุง เราเอาแหลนแทงคางคกเสียบติดๆกันเป็นตับถึง ๑๕ ตัว เมื่อมันตายหมดแล้วเราก็โยนทิ้ง พ่อแม่เห็นไม่ว่าอะไร เรายืมปืนลูกซองของพี่หลวงไปป่า กลับบ้านเราหิ้วนกพี่ทิดพี่ทีตัวใหญ่มาด้วย พ่อแม่เห็น น่าจะถามเราว่ายิงมันทำไม เคยได้ยินว่ากินหมากเหนียดยาเส้นทำให้ฟันยืน เคยลองเหมือนกันแต่ยันหมากเลยต้องเลิก
ก่อนจากบ้านไปเรียน ม.๑ที่ไชยา พ่อสอนว่า "สมบัติทั้ง ๕ที่พ่อแม่ให้ คือ ขา๒ แขน ๒ หัว๑ รักษาไว้ให้ดี อย่าให้หายเสีย" คิดให้ดี เฉพาะหัว มันมีตา มีปาก มีหู มีจมูกและที่สำคัญคือมันสมอง พ่อแม่ใครให้สมบัติทั้ง ๕ ไม่ครบ หรือครบแต่คุณภาพไม่ค่อยดี ลูกที่รับมาจะปรับปรุงสมบัตินั้นให้มีค่าสูงขึ้นมันทำได้ยากมาก
นอกเหนือจากสมบัติทั้ง ๕แล้ว พ่อแม่ทุกคนยังให้ "ใจ" คือทัศนคติ ความเชื่อ ศาสนา รู้ความผิดชอบชั่วดี สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนเรานี้บางทีพ่อแม่สั่งสอนเรา บางที่เราเอาอย่างพ่อแม่โดยพ่อแม่ไม่ต้องสอน .... แม่เราเคยเอาคนบ้ามาเลี้ยงเป็นปี เราเรียกแกว่าพี่อาบ คราวหนึ่งต้องล่องน้ำนองสูงถึงเอวจากไร่มาบ้านพี่อาบบ้าให้เราขี่คอแก แม่ว่าอย่างนั้น แม่เคยเอาตาเจ้าครันคนจรจัดแต่เก่งศิลปะมาอยู่บ้านนานเหมือนกัน คนลาวชื่อสุวันแม่ก็เคยเอามาเลี้ยง หลานห่างๆของแม่ไปทำงานเรือขุดที่ห้วยมุด ถูกสาวแก่จับเอาเป็นผัว เมียจะดูบ้านผัว แต่ผัวไม่มีบ้านเพราะพ่อแม่ตายหมด หมดหนทางก็เอาเมียมาพักบ้านย่าหลายอาทิตย์... เราได้เรียนความเมตตากรุณาคนจากแม่... เรากลับบ้านที่ไรต้องมีของไปฝากญาติและคนที่มีพระคุณเป็นการสอนกตัญญูกตเวทิตา เราเรียนรู้ความซื่อตรง มุมานะ อดทน มัธยัสถ์ มักน้อย อย่าชิงสุกก่อนห่าม(อย่าเอาเมียตอนกำลังเรียน) ที่สำคัญที่สุดคือ พ่อและแม่ได้ทำตัวอย่างของการเป็นสามีภรรยาและเป็นพ่อแม่ให้ลูกๆเห็นและเอาอย่างได้ บ้านที่ครอบครัวมีความราบรื่นเป็นโรงเรียนที่สอนใจลูกๆอย่างช้าๆให้มีจิตที่มั่นคง และลูกๆจดจำเอาอย่างไปตลอดชีวิต
ส่วนลูกคนไหนมีปมด้อย อันเกิดจากความรู้สึกที่ลูกตีราคาค่าของตัวของเขาเอง ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ และไม่ควรถือว่าปมด้อยนั้นเป็นสมบัติที่พ่อแม่ให้
6.ค่ำนี้จะนอนไหน
เกือบกลางเดือนพฤษภา ปี ๒๔๙๖ อีก๓วันข้างหน้า โรงเรียนพุทธที่ไชยาจะเปิดแล้ว เราและพ่อแต่งตัวแต่เช้าออกเดินทางไปไชยาหาที่พักให้เรา
เมื่อ ๕ปีก่อน พี่ชายคนที่ติดกับเราไปเรียนมอที่ไชยา พ่อแม่ก็ลำบากในการหาที่พักให้พี่ โชคดีที่หลวงครันไปบวชหนสองอยู่ที่วัดหลาทึง(ชยาราม) โกศลพ่อชื่อพรมบ้านชายท่าและพี่ชายเราก็ได้ไปอาศัยตาเจ้าครันอยู่ แต่อยู่ได้ไม่ครบเทอม เงินของตาเจ้าครันหาย หาตัวคนลักไม่ได้ แกเลยไล่ลูกศิษย์ทุกคนออกจากกุฏิของแก โกศลและพี่เราหอบหนังสือเสื้อผ้าและตะเกียงไข่เป็ดออกจากกุฏิไปนั่งร้องไห้อยู่ที่โคนต้นพร้าว(เขียนตามคำเล่าลือ) โชคดีอีกที่ท่านครูขำ(โสภณ)มาเห็นเข้าเลยรับเด็กทั้งสองคนไว้ที่กุฏิท่าน โกศลและพี่ชายเราก็อยู่กับท่านมาจนถึงปีนี้ แต่ก่อนที่พี่ชายจะกลับบ้านตอนปิดเทอมใหญ่ ท่านครูขำได้ประกาศแก่ลูกศิษย์ทุกคนว่า ปีการศึกษาหน้าแกจะไม่รับเด็กใหม่อีกเด็ดขาด กุฏิท่านเล็กเด็กเต็ม
วัดหลาทึงจึงไม่เป็นจุดหมายปลายทางของพ่อ.... เดินกันเหงื่อไหลมาเกือบ ๒ชั่งโมงแล้ว ถึงวัดธารน้ำไหล ด้านซ้ายสูงขึ้นไปก็เขานางเอ ที่ภูเขานี้พ่อกับแม่เคยมาขุดดินปนขี้ค้างคาวสีแดงในถ้ำใส่โตระหาบทูนเอาไปเป็นปุ๋ยใส่นาข้าว พ้นวัดธารน้ำไหลไปก็ถึงบ้านปากด่าน เลยจากปากด่านไม่นานก็ถึงวัดแก้ว หลายปีก่อนเรากับพ่อเคยมางานฝังพัทธที่วัดนี้ เราได้กินแกงส้มหนุนทองกับปลาช่อนแห้งที่อร่อยที่สุดในโลกเพราะวันนั้นเราหิวจัดมาก พ่อว่าแกพอจะรู้จักท่านสมภารตาบอดชื่อท่านพวงหรืออะไรนี่ พ่อจึงพาเราไปกราบท่านและบอกความประสงค์ นักเทศน์กัณฑ์ชูชกผู้เรืองนามตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "ปีนี้เด็กเต็ม" วิสาสะกันพอเป็นพิธีแล้วพ่อและเราก็กราบลา
วัดเววนเป็นจุดหมายต่อไปของพ่อ วัดนี้ไกลจากโรงเรียนมาก เป็นวัดสุดท้ายที่พ่อพอจะรู้จักท่านสมภารชื่อว่าท่านพร้อมร่างใหญ่ ก็เรากับพ่อเคยไปงานฝังลูกนิมิตรวัดนี้เมื่อ ๒ปีก่อน พ่อรู้จักท่านพร้อมจริงหรือถ้าพ่อได้ไปงานฝังพัทธวัดไหนแล้ว พ่อถือว่าพ่อได้รู้จักเจ้าอาวาสของวัดนั้นแล้ว เราไม่ค่อยจะแน่ใจนัก
ออกจากวัดแก้วพ่อและเราเดินลัดทุ่งนากว้างใหญ่ข้างบ้านนาหลวง พ่อว่า"ไปดูเหียดมันหีด บ่ายๆค่อยไปวัดเววน" เหียดคือพี่ชายเรา คนที่ถูกตาเจ้าครันไล่ จนได้ไปอยู่กับท่านครูขำที่วัดหลาทึงนั้นแหละ พอไปถึงวัด พ่อให้เรารออยู่ข้างกุฏิ พ่อขึ้นกุฏิคนเดียวก้มกราบท่านครูขำและดึงเหนียวกวนมัดหนึ่งที่ห่อโลไว้ถวายท่าน "ผมทำเองครับข้าวเหนียวใหม่น้ำตาลโหนดผมก็ขึ้นเอง" พ่อและท่านครูสนทนากันแบบคนรู้จักกันมาก่อน ก็เหียดของพ่ออยู่มากับท่านตั้ง๕ปีแล้ว ท่านครูก็คงได้ฉันเหนียวกวนของพ่อหลายกิโลแล้วเหมือนกัน พูดกันไม่นานท่านครูก็รู้ว่าพ่อจะพาเราไปขออาศัยกับท่านพร้อมที่วัดเววน พ่อไม่กล้าขอร้องท่านครูขำเพราะพ่อรู้ข่าวจากเหียดมาก่อนว่าปีนี้ท่านครูขำไม่รับเด็กใหม่ ตอนหนึ่งท่านครูว่า "หนิดอยู่ไหน เรียกมันขึ้นมานี่" นาทีถัดไปเราก็ก้มกราบท่าน ๓ ทีแล้วนั่งพับเพียบตามองพื้นกลัวท่านครูแบบคนมีปมด้อย ท่านครูเงียบไปครู่หนึ่ง คงคิดอะไรสักอย่าง ในที่สุดท่านครูพูดว่า"พี่ยุทธ ปีนี้ยกเว้นให้คนหนึ่ง หนิดอยู่วัดนี้" พ่อยกมือไหว้ท่วมหัวแล้วกราบท่าน เราเองก็ทำตามพ่อ หัวใจเราพองโต เรามองเห็นภาพตัวเองใส่เสื้อขาวแขนสั้นปักหน้าอกปักด้วยไหมสีแดงเข้มว่า "พ.น."
พ่อเดินออกจากวัด เราใจหาย มีพี่ชายอุ่นใจแต่ก็ไม่เหมือนพ่อแม่ คืนนี้เรานอนวัดหลาทึง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้จากบ้านอกพ่ออกแม่ น้ำตาไหล กุฏิไม้ไผ่ห้องเล็กๆมีเด็กวัดนอนกัน ๕-๖คนตัวโตกว่าเราทั้งนั้น มุ้งกางติดๆกัน ตะเกียงไข่เป็ดคนละดวง อ่านหนังสือกันในมุ้ง ใครออกจากมุ้งไปยุงมันจะหามเอา นอกเสียจากพี่เราแล้ว เด็กอื่นๆมองเราอย่างศัตรู...ก็เป็นความจริงของเขา พรุ่งนี้เช้าเราเป็นอีกคนที่จะต้องแย่งของกินของพวกเขา
7.โจรปล้น
เด็กวัดทุกคนมีปมด้อย มากบ้างน้อยบ้าง................
เรามาอาศัยวัดอยู่กันเพราะยากจนบวกกับความจำเป็น บ้านญาติที่พอจะเดินไปโรงเรียนได้ไม่มี ห้องเช่าก็ไม่มี เราจึงต้องมาขออยู่กับพระ ที่จริงพระก็พึ่งพาเราพอๆกัน...พวกเราทำความสะอาดเช็ดพื้นถากหญ้าถูส้วม โดยเฉพาะส้วมพระเณรไม่ทำหรอก ตอนเช้าพระเณรไปขอข้าว เด็กวัดเดินชั้นไปขอกับ ได้มาแล้วแบ่งเป็น ๒ส่วน ครึ่งหนึ่งกินเช้า อีกครึ่งกินเที่ยง พระเณรฉันก่อนที่เหลือส่งให้เด็กวัด วัดหลาทึงอดอยากกันทั้งพระเณรและเด็กวัด คงเพราะวัดเล็กบ้านคนมีน้อย ข้าวกับที่เหลือจากพระฉันก็น้อยลงไปอีกตามสัดส่วน บรรยากาศการกินอาหารเช้าของเด็กวัดหลาทึงก็ต้องให้นึกถึงว่ามีหมูอยู่ ๑๐ตัว เจ้าของหมูตักข้าวปนเศษอาหาร ๒ พรกใส่ลงไปในรางหมู คิดดูก็แล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนเที่ยงแล้วแต่ดวง ใครวิ่งจากโรงเรียนมาถึงโรงฉันก่อนก็อาจได้กินบ้าง ใครมาถึงช้าก็อดกิน ปะรำหลังคาจากที่โรงเรียนมีข้าวราดแกง ผัดหมี่และขนมขาย แต่เราไม่เคยเห็นเด็กวัดคนไหนไปซื้อกิน ...ก็อยู่กันอย่างหิวโหยแบบนี้แล้วจะให้เด็กวัดไม่มีปมด้อยอย่างไรไหว
อยู่วัดหลาทึงได้เทอมเดียว อาจารย์ชมเจ้าอาวาสวัดเวียงตาย หลวงเยและหลวงซ้วนมานิมนต์ท่านไปเป็นเจ้าอาวาส ลูกศิษย์อาจารย์ครูขำทุกคนก็ตามท่านไปด้วย วัดเวียงไกลจากโรงเรียนราว ๓กิโลหมดสิทธิ์กลับวัดกินเที่ยง แต่อาหารเช้าของวัดเวียงดีกว่าวัดหลาทึงมาก ตอนเย็นถ้าไม่อยากกินข้าวบูดเราก็หุงกินกันเองได้ อาหารหมูมีมากก็จริงแต่จำนวนหมูก็มากตามไปด้วย มาจากเหวียด ทือ โมถ่าย ปากหมาก ยายชี หนองหวาย เกาะงัน นาสาร บางงอน ท่าหนอน ลูกหลานอาจารย์ครูเองจากตำบลไกลในไชยาเองก็มาอยู่....เราไม่ถนัดเรื่องชิงกันกิน แย่งเขาไม่ทันก็อดกินร้องไห้บ่อยๆ อาจารย์ครูทราบเรื่องก็โดนเฆี่ยนด้วยหวาย ๗ที แกว่าจะได้โตเร็วทันเพื่อน จริงอย่างท่านว่า
ปีพ.ศ.๒๔๙๗ เราเรียนชั้น ม.๒ พี่ชายจบม.๖ แล้วไปเรียนครู พ.ที่คอหงส์สงขลา ทิ้งเราไว้อยู่เดียวดายกับเด็กวัดนักเลงทั้งหลาย ตอนพี่ชายเราอยู่ พวกนักเลงไม่กล้าเล่นงานเรา แต่พอพี่ชายไปแล้วพวกมันก็ออกฤทธิ์ โกศลอยู่ม.๖ ทำตัวเป็นนักเลงใหญ่ เคยดังมาตั้งแต่วัดตูใหญ่แล้ว เราเคยเห็นมันยิงขึ้นฟ้าด้วยปืนทำเองตอนงานพ่อมันทอดกฐิน ปีนี้มันโตกว่าเพื่อน ก็ออกนิสัยเดิม ชอบออกคำสั่งและลงโทษเด็กวัด ถ้าขัดใจหรือไม่ทำตามมัน มันก็เขกหัวเด็กที่ตัวเล็กกว่า เราก็โดน โดนกันทั้งนั้น ศัตรูของพวกเราใช่แต่เด็กวัดนักเลง ยังมีโจรหัวโล้นนุ่งห่มผ้าเหลืองชอบกินถั่วดำอีก ตอนที่วัดมีแม่ชีสาวแก่อยู่พวกโจรไม่กำเหริบนัก แต่พอแม่ชีสึก โจรก็หันมาเล่นงานเด็กวัด รวมทั้งสาวๆชาวบ้านข้างๆวัดด้วย ถ้าโจรคนไหนทนชาวบ้านบ่นไม่ไหว ก็สึกแต่งงานกันไปกับลูกสาวชาวบ้านก็มี แต่บางคนเก่งปิดๆบังๆนิสัยโจรอยู่ให้คนไหว้จนแก่เฒ่า....ชีวิตเด็กวัดเป็นแบบนี้จะมิให้มีปมด้อยอย่างไรไหว
8.ผู้แพ้
ครูมงคล นิลรัตน์เป็นครู ม.๑ แม้มีวุฒิแค่ม.๖ แต่เป็นครูที่ดีมาก ลูกศิษย์รักแกทุกคน แกก็รักเด็กรุ่นแรกของแกมากเหมือนกัน เพราะแกตามสอนเราไปทุกชั้นจนเราจบม.๖...พอเริ่ม ม.๑ได้อาทิตย์เดียวครูก็จัดสอบเทียบความรู้ คล้ายกับลองเชิงดูว่าเด็กที่จบป.๔มาจากโรงเรียนต่างๆนั้น ใครโง่ที่สุด คนมีปมด้อยชอบคิดแบบนี้ เราเด็กมาจากป่าสอบแข่งกับเด็กอยู่ใกล้ทางรถไฟ เราจะสู้เขาได้อย่างไร ผลออกมาเราชอบและไม่ชอบ ชอบเพราะได้ที่๒ ไม่ชอบเพราะคนได้ที่๑ เป็นลูกคนจีนบ้าบาจากหนองหวายทิ้งเราตั้ง ๑๐๐คะแนน แต่คนชอบคิดติดลบอย่างเรารู้สึกผิดหวังและเกิดปมด้อยในใจขึ้นมาทันที
ความสำเร็จในการเรียนหลายๆหนทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นการสลัดปมด้อยทิ้งไปได้มาก แม้ว่าตลอด ๖ปีเราแพ้เด็กคนนี้ตลอด แต่ก็ไม่เคยมีเด็กคนอื่นได้คะแนนดีกว่าเรา ปมด้อยในช่วงนี้เกิดจากสิ่งอื่นๆ บ้านเกิดอย่างหนึ่งและความยากจนอีกอย่างหนึ่ง เด็กที่บ้านอยู่ใกล้ทางรถไฟชอบล้อเราว่า "บ้านอยู่เส-วี-ยด แสนอดข้าว กินแต่น้ำเต้าขี้พร้าหน้าขิ้นสิว พอหวันช่ายแดดอ่อนส้อนปลาซิว หากินเหมือนยิ่วเหมือนแร้งหน้าแข้งลาย" เรามองดูตัวเองก็จริงอย่างเขาว่าหน้าแข้งเรามันออกลายๆจริงเสียด้วย แล้วแม่เรานุ่งโจงเบนอีก กินหมากปากแดงฟันดำ เกือกก็ไม่ใส่ เราคิดว่าแม่เราไม่น่าดู แม่มาตลาดกับเรา เราหลบหลีกไม่ให้เพื่อนๆเห็น แม้ตัวเราเองก็เหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเราไม่หล่อไม่ขาวเหมือนคนอื่นเขา แถมทั้งเล็กทั้งเตี้ย เราเกลียดที่สุดเวลาครูให้เข้าแถว และการเข้าแถวมีแทบทุกวัน
ความยากจนทำให้คนมีปมด้อยเป็นแน่แท้ เพราะไม่ว่าอะไรต้องใช้เงินทั้งนั้น เกือกเก่า เสื้อผ้าเก่าทำให้เรามีปมด้อย เวลาเพื่อนเขาไปซื้อข้าวเที่ยงกินกันเราต้องเที่ยวหลบๆซ่อนๆ ห้องสมุดก็ไม่มีจะได้หนีไปอ่านหนังสือ แล้วจะให้เราหนีไปไหน หิวนั้นพอทนได้ แต่ปมด้อยเก็บเอาไว้ในใจนาน ทำไมจึงเกิดมาจนนัก...เราชอบอ่านนิยาย"ลูกไม่มีพ่อ" ของ จ.ไตรปิ่น อ่านแล้วชอบใจเพราะมันคล้ายกับชีวิตเรา เราชอบกิฬาทุกชนิดแต่ก็เกลียดที่สู้เขาไม่ได้ ชอบร้องเพลงกลางทุ่งเพราะแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน เกลียดที่สุดอีกอย่างคือเวลาต้องออกไปรายงานหน้าชั้นคนเดียว กลัวคน กลัวมานานแล้ว เมื่อไหร่เราจึงจะหายกลัว
ในที่สุดก็จบม.๖จนได้ ผิดหวังอีกตามเคย จรุง หนูขวัญ อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชนะเราอีก ๑๐ คะแนน...หมอนี่เมื่อก่อนชื่อจรงค์ แซ่ลิ้ม มันเกิดปี ๘๔ แต่หลอกอายุโดยหวัดเลข ๔เป็นเลข ๕ มันเก่งกว่าเราเพราะมันตาชั้นเดียวและมาอยู่บ้านญาติเป็นครูได้กินดีและมีคนแนะนำ(นี่เราหาเหตุผลมาพูดแบบผู้แพ้)
9.กิฬาพร้าวลีบ
น้องชอบเอาอย่างพี่...พี่เราเก่งกิฬาเราก็อยากเก่งบ้าง พี่เราคนที่พ่อเรียกว่า"เหียด"นั้นเก่งหลายอย่าง ผีแกก็ไม่กลัว เพราะเขาเล่าว่าตอนเรียนประถม แกลืมเก็บพลูจากในไสที่แม่สั่ง พอกลับมาถึงบ้านมืดแล้วแม่ถามหาพลู พี่เราบอกว่าลืม แล้วก็วิ่งกลับไปไร่ในความมืดผ่านป่าระยะทางกิโลกว่าเอาพลูมาให้แม่จนได้...ตอนแกกลับมาบ้านหลังจากจบการเรียนครูที่สงขลา แกก็มาร้องเพลง"ต้นตระกูลไทย"ให้ควายฟัง เสียงดังไพเราะฉะฉาน เราชื่นชมในความเก่งและอยากเอาอย่างอยู่ในใจ เรื่องเรียนแกก็เก่งแต่ข่าวว่ายังเป็นรองเด็กนามสกุลมีขนอน ก็เด็กคนนั้นเขามีพี่เป็นครูและบ้านอยู่ใกล้ทางรถไฟได้กินหมูกินควายพี่เราจะสู้ได้อย่างไร...เรื่องกิฬาแกก็เก่งหลายอย่าง ตอนเรียนมัธยมแกเล่นบาสแม้คอจะแคงเพราะเป็นฝีหินก็สู้เขาได้ ตอนไปเรียนสงขลาเขาว่าหรือแกว่าแกเก่งโดดสูงและโดดไกล แม้แต่มวยแกก็เคยต่อย แพ้ชนะไม่สำคัญ คนกล้าขึ้นเวทีก็นับว่าใจถึง...พี่เราที่ได้เรียนมออีกคนหนึ่งแม้หูแกจะหนัก แต่เก่งทางไม่กลัวคน ตอนแกเรียนม.๖ ที่บ้านเรามีงาน คนเป็นคู่อริของพ่อจะขึ้นเรือน แกไปขวางประตูแล้วยกตีนจะถีบหน้าคู่อริของพ่อ แล้วแกยังสำรากว่า "มึงศัตรูของพ่อ กูไม่ให้ขึ้นเรือนกู" เรื่องกิฬาแกเก่งทางโดดค้ำและวิ่งทน โดยเฉพาะวิ่ง ๑๐โล แกได้ขันเงินเอามาอวดแม่หลายใบ วิ่งมากโดดมากจนเป็นไส้เลื่อน ต้องมาให้ท่านครูขำบีบให้กดให้ หายหรือเปล่าไม่รู้...สำหรับตัวเรานั้นเล่นอะไรสู้เขาไม่ได้เลย ตัวเล็กตัวผอมพุงโรแม้วิ่งเปี้ยวเราเคยแพ้เด็กหญิง เรื่องมวยเราเคยต่อยหนเดียวเพราะเด็กรุ่นพี่มันยุให้ต่อยกับเณรช่วยที่หาดทรายท่าล่าง ตอนนั้นยังเรียนป.๓ คงแพ้กันทั้งคู่เพราะปากแตกหน้าบวมกันทั้ง๒คน ที่เรารู้แน่ๆก็คือปากเณรช่วยเบี้ยวไม่ได้เป็นเพราะถูกเราต่อย
ตอนอยู่วัดเวียงเด็กวัดนิยมเล่นบาคู่ บาคู่นี่เด็กวัดก็ทำกันเอง บางคนเล่นเก่งยืนด้วยมือบนบาแล้วยกเอาขาขึ้นชี้ฟ้าได้ บางคนเก่งกว่านั้นคือเดินด้วยมือขาชี้ฟ้าบนบากันเลย เราเองก็เคยเล่น ได้แต่ดันตัวขึ้น ลดตัวลง เคยหัดหมุนตัวออกจากบาลงพื้น แต่ก้นแทกดินบ่อยๆเลยต้องเลิก กิฬาที่เราชอบเล่นกันมากที่สุดคือกิฬาพร้าวลีบ กิฬานี้เป็นบาสเกตบอลของเด็กวัดเวียงรุ่นเรา เราใช้เหล็กก่อสร้างโบสถ์มาดัดเป็นห่วง แล้วตีตาปูติดต้นมังคุด ลูกบาสเราใช้พร้าวลีบ เล่นกันเป็นทีม ได้แต่รับส่งและชู๊ด เลี้ยงลูกไม่ได้มันไม่เด้ง กิฬานี้ค่อนข้างอันตราย เด็กโตๆที่เป็นนักเลงชอบส่งลูกแรงๆให้เรา ผลก็คือ ปากแตก หน้าบวม นิ้วโตนิ้วเขียวเจ็บและงอไม่ได้ เราเองก็ชอบเล่นกิฬานี้ แต่คนตัวเล็กตัวเตี้ยอย่างเรา ถ้าไม่จำเป็นเขาไม่ส่งลูกให้
การเล่นกิฬาถ้าเล่นเก่งหรือชนะบ่อยๆทำให้เกิดปมเด่น แต่สำหรับเราผลมันกลับกัน
10.เกือบตายตั้งหลายหน
การเจ็บป่วยตอนเราเป็นเด็กนั้นเสี่ยงตายมาก ทั้งนี้ก็เพราะความไม่รู้ของคนอันเกิดจากตำบลที่เราเกิดที่รัฐบาลดูแลไปไม่ถึง ใครโตและรอดมาได้ ไม่เป็นไข้ป้างหรือไข้อย่างอื่นๆตาย หรือแขนโกะขาเผลก็นับว่ามีโชคดีแล้ว เขาเล่าว่าเรามีพี่ชายอีกคน เป็นลูกคนที่๒ของแม่ชื่อคล่อง แต่เป็นไข้ตายตั้งแต่ยังเล็กๆ...เหียดที่พ่อเรียกพี่ชายเราเองเป็นฝีหินที่คอใต้หู คอพอกอยู่อย่างนั้นเป็นปี ฝีไม่ยอมแตก เดินเหินคอเอียงๆ คอหด คอพอก มาหายด้วยยาหรือคาถาของนายร้อยผาดข้างวัดเวียงเมื่อตอนอยู่ ม.๕หรือ ๖ พี่ชายคนนี้ตอนเล็กๆยังเป็นเสนที่ท้องรักษากันนานไม่ยอมหาย เขาว่ามีคนเอาช้างสารงายาวมาเหยียบให้แต่ก็ไม่หาย ตอนนี้เหลือแต่แผลเป็น พี่ชายอีกคนหูหนวกมาตั้งแต่ตอนเรียนที่ท่าฉาง ที่จริงไม่ถึงกับหนวกเพียงแต่หูหนัก ก็หูอักเสบหูมีน้ำหนองธรรมดาแต่ไม่มีหมอรักษาเท่านั้นเอง
ส่วนตัวเราเองตอนเด็กๆก่อนเข้าโรงเรียนขาเผลเดินไม่ได้อยู่หลายปี ตัวทั้งเล็กทั้งเตี้ย พุงโรเพราะขาดโปรตีน ร่างกายดูแล้วขี้โรคอ่อนแอ ป่วยเป็นไข้อะไรไม่รู้นานๆทุกปี ตอนเรียนประถมมีอยู่หนหนึ่งเขาว่าเป็นไข้ป้าง กินยาต้มของหมอเชื่อมขมปี่ทุกหม้อนับหม้อไม่ถ้วน หมอหมดปัญญารักษาจึงต้องมาไล่ผีให้ออกจากร่างของเรา หมอเรียกว่าปัดรังฟาน ไข้อยู่อีกนาน เราไม่ตายเพราะผีคงจะไม่อยากเอาเราไปก็ได้ ตอนอยู่ไชยาเป็นเกิดฝีที่ลูกดันขวาเดินไม่ได้เกือบปี เป็นฝีไม่มีหัว ฝีไม่ยอมแตก โรงเรียนก็ไกลครูมงคลต้องมารับนั่งท้ายรถถีบยี่ห้อราเลย์ของแกทุกเช้าเย็น ตอนหายก็นายร้อยผาดหมอเดียวกันกับที่เคยช่วยพี่ชายเรา
ตอนอยู่วัดเวียงได้เกิดอุบัติเหตุที่เราสมควรตาย กลางคืนเดือนมืดมีคนเรียกให้รีบไปดูผี เราวิ่งลงจากกุฏิบันไดอิฐ ๓ขั้น บำเรอวิ่งหนีผีขึ้นบันไดเดียวกันกับเรา หน้าเราเกิดชนกันอย่างแรง ตัวเราสลบไสลไปกองอยู่บนลานวัด เขาว่ายังหายใจได้อยู่แต่ไม่รู้สึกตัว แม้อยู่ไม่ไกลจากตลาดไชยาก็ไม่มีใครพาเราไปหาหมอ ตกดึกเราก็ฟื้นไม่รู้ใครหามเราขึ้นมาบนกุฏิ ตอนเราตื่นเราเห็นหน้าเด็กพระเณรพอรางๆจ้องมาที่หน้าเรา เขาคงรอว่าเราจะเป็นหรือตายกันแน่ เวลาผ่านไปตั้ง๒วัน แม่และพ่อจึงมาถึงวัดดึกจัดราวตี๓ ตาเราข้างซ้ายสีแดงเหมือนเลือด บวมจนมองไม่เห็นอะไร ปากเราดูในกระจกแล้วเหมือนปากครุฑ ริมฝีปากเราพองโตสีดำปนเขียวจะเน่าอยู่แล้ว แม่เป็นคนพาเราไปหาหมอ หมอสดฉีดยาให้และให้ยามากิน กว่าจะหายก็เกือบเดือน ส่วนบำเรอเด็กเกาะงันนั้น ถูกฟันของเราเต็มหน้า แผลที่ระลึกยังมี เป็นไอ้หน้าบากยาวเกือบ ๔นิ้ว ฟันหน้า ๓ ซี่ของเราก็ยังคลอนอยู่ มาจนถึงวันนี้
11. ขึ้นเหนือหรือลงใต้
จบม.๖ที่ไชยาสมัยนั้นเป็นชั้นสูงสุดแล้ว ม.๗-๘ยังไม่มีสอน ฉะนั้นพอโรงเรียนปิดเทอมสุดท้ายของปี นักเรียนที่จบม.๖ส่วนใหญ่ก็ไปหาที่เรียนต่อที่บางกอกหรือบ้านดอน เขารู้ที่จะไปพัก เขารู้ที่จะไปเรียน เขายังรู้กันอีกว่าอนาคตของเขาจะได้เป็นนั่นเป็นนี่ คนมีเงินมีสิทธิ์ฝัน และทำความฝันให้เป็นจริงได้
พี่ชายเราคนที่หูหนักจบม.๖คนแรก เรียนม.๖ ตั้ง๒ปี จบแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็น้องเชิ้มลูกชายน้าเสื้องคนเปิดประตูการเรียน ม.๑ให้เราอีกนั้นแหละ แกแนะให้พี่เราไปสมัครเป็นครูที่เกาะหมุย โรงเรียนราษฎร์ชื่อศรีเรืองวิบูลวิทย์ สอนอยู่ได้ ๑ปีก็สอบเทียบครู พ.ที่จังหวัดได้ อาจจะเป็นเพราะบารมีของโปรุ่งก็ได้ เพราะตอนนั้นลูกศิษย์โปรุ่งชื่อซ้อนเป็นศึกษาจังหวัดอยู่ พี่เราได้บรรจุในป่าลึกเรียกโกงเหลงของอำเภอนาสาร เป็นข้าราขการครูพิเศษมูลชั้นต่ำสุด อย่าถามเรื่องเงินเดือนดีกว่า แกเคยว่าอย่างนั้น ... ส่วนพี่ชายคนที่ ๒ คนที่อยู่วัดหลาทึงและวัดเวียงกับเรานั้น เมื่อจบม.๖แล้ว สอบชิงทุนได้ไปเรียนครู พ.๑ปี จบแล้วก็ได้งานที่โรงเรียนบ้านไทรห้องแถวเวียงสระ ลงรถไฟที่ตลาดแล้วก็เดินนับหมอนกลับหลังอีกหลายเหงื่อจึงจะถึงโรงเรียน
คนมีปมด้อยเพราะรู้ว่าพ่อแม่ยากจนอย่างเรา ย่อมไม่กล้าคิดเรื่องอนาคต ถ้าคิดไปก็ติดขัดที่เงินนั้นแหละ ปมด้อยก็ยิ่งมากเข้าไปอีก ที่จริงเราเองก็พอจะรู้ว่า เด็กจบม.๖ที่คิดการใหญ่ต้องไปเรียนเตรียมอุดม ม.๗-๘ ที่กรุงเทพ จบแล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย เรียนเป็นวิศวกร นายแพทย์ นายร้อย เมื่อเราคิดกับเขาแบบนั้นไม่ได้ ก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้จบ ม.๖ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ จบแล้วไม่รู้ก็จะไปทางไหน ไม่แตกต่างจากพี่ๆของเรามากนัก เราไม่กล้ากลับบ้านกลัวคนถาม เราก็ขออยู่วัดเวียงต่อไป รอดูว่าจะมีช่องทางไหนบ้าง ที่เราจะได้งานทำหรือจะได้เรียนต่อ
คนมีปมด้อยย่อมมีความกลัว กลัวว่าจะต้องไปแลควายไถนาทำไร่ทำปรนขึ้นตาลแบบพ่อ ตอนเด็กกว่านี้ไม่เคยคิดไม่เคยกลัว แต่จบม.๖ แล้ว มืออ่อนตีนอ่อนเกิดกลัวความจนและงานกรรมกร ฉะนั้นพอโรงเรียนปิดเทอมปลายได้วันเดียว เราเริ่มบุกคือเรียนหนัก เรียนด้วยตัวเอง ทบทวนวิชาหลัก หัดจดจำให้แม่นยำ ตื่นแต่ตี๓ หยุดเล่นหยุดสนุก เรียนอย่างเดียว ไม่มีวันหยุด ทำแบบนี้อยู่เดือนกว่า ดูแล้วก็บ้าๆแบบพระหัดท่องปาติโมกข์หรือเรียนเป็นมหา
เดือนพฤษภาใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว เพื่อนๆที่ยังหลงเหลืออยู่ไชยา บอกข่าวว่าที่ตัวจังหวัดมีการสอบเข้าเรียน ๒อย่าง เรียน ม.๗-๘ที่ โรงเรียนประจำจังหวัดอย่างหนึ่ง และสอบชิงทุนเรียนครู ป.กศ.ต้นหลักสูตร ๒ปีอีกอย่างหนึ่ง เราไปหาแม่ แม่พาไปพักบ้านโปรุ่งที่บ้านดอน สอบเข้าม.๗ก่อน ผลออกมาได้ที่๒ ดีใจเกือบตาย โปรุ่งว่าอยู่บ้านแกนี้แหละ.... ไม่กี่วันต่อมาสอบชิงทุนครู นัดนี้เด็กสอบกันมาก มากันทั้งจังหวัดจากทุกอำเภอ ดูๆแล้วคงหลายร้อย ส่วนมากนุ่งกางเกงขายาว ผมก็ยาวทาตันโจหวีแปล้ ส่วนเรานุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี เสื้อสีขาวแก่ ปักหน้าอก พ.น.๒ แถวล่าง ๙๒๐ ผมเกรียน วันสอบแม่เดินไปส่งที่สนามสอบ แม่ว่า "จะสู้กับเขาไหวหรือหนิด" สอบแล้วกลับบ้านกับแม่ เด็กมากต้องตรวจนาน ให้มาดูผลอาทิตย์หน้า
วันประกาศผลเราไปกับพ่อ นอนบ้านโปรุ่งอีก โปรุ่งว่า "ศึกษาชื่อเริง นากลอน กูไม่รู้จัก หนิดเอ้ย" ราว ๘ น.ศาลากลางเก่าข้างแม่น้ำเปิดทำงาน เด็กผู้ใหญ่มารอดูผลเต็มสนามเหมือนมีงานวัด ได้ยินคนเขาพูดกันว่า คนได้ที่๑ ไปเรียนที่กรุงเทพ คนอื่นๆที่สอบได้ไปเรียนนครและสงขลา เข้าแถวกันยาวยืดกว่าเราจะถึงป้ายประกาศผลก็ร่วมชั่วโมง ใครก็ไม่รู้เรียกชื่อเรา เราเหลียวหลังไปดูมีแต่คนที่เราไม่รู้จัก ใจเราเต้นตุ๊บตั๊บ ใกล้เข้ากระดานติดประกาศเข้ามาทุกที เห็นชื่อนามสกุลเป็นแถวเรียงกันลงมาราว ๓๐-๔๐ชื่อ ใกล้เข้ามาอีกนิด พออ่านตัวหนังสือออก แทบจะเป็นลม ชื่อเราหาไม่ยาก ติดโร่อยู่หัวแถว....เราวิ่งไปหาพ่อที่รอเราอยู่ไม่ไกล บอกพ่อด้วยความดีใจว่า "ผมได้ไปเรียนบ้านสมเด็จ" พ่อไม่รู้เรื่อง "อะไหรของหมึง" แกว่า "ผมได้ที่ ๑ เขาให้ไปเรียนที่กรุงเทพ" พ่อยิ้ม
12. กางเกงขายาวตัวแรก
จะไปกรุงเทพแล้ว พี่คนหูหนักพาเราไปตลาดไชยา เพื่อให้ช่างวัดตัวตัดกางเกงขายาวสีกากีผ้าโอร่อน นี่เป็นกางเกงขายาวตัวแรกในชีวิต ใส่แล้วกลีบโง้งรู้สึกคับที่เอวก้นและโคนขาแบบเอลวิสตามสมัยนิยม จนถึงวันนี้ยังไม่รู้แน่ว่า พี่แกคิดช่วยเหลือเราเองหรือแม่ช่วยคิดให้แก
คนไปไหนด้วยตัวเองไม่ได้มีปมด้อย เราไม่เคยไปกรุงเทพ พี่พ่อแม่ก็ไม่เคยไป โชคดีอีกอาจารย์ครูพาไปส่ง พ่อแม่ขอร้องท่านหรือเปล่าไม่ทราบ แม่ให้เงินเรา ๑๒๒๗บาท อาจจะเป็นเงินที่พ่อแม่มีทั้งหมดก็ได้ เสียค่ารถไฟ ๕๕บาท อาจารย์ครูได้ลดครึ่ง ท่านเสียเงินของท่านเอง ถึงแล้วมืดค้างคืนที่บ้านพี่เสริฐลูกพราห์มแช่มที่เมืองนนท์ พี่เสริฐก็รุ่นเดียวกับพี่ชายเรา เคยอยู่วัดเวียงมาด้วยกัน รุ่งเช้าพี่เสริฐพาำเราไปส่งเข้าหอพักนักเรียนทุนของวิทยาลัยครูที่ตรอกบางไส้ไก่ธนบุรี
มีหอพักอยู่ ๒หอ ปี๑และปี๒ มีเด็กทั้งหมดราว ๓๐๐ คน นอนกันเป็นแถวในห้องโถงใหญ่มีเตียงและฟูก ห่างกันไม่เกิน๒ฟุต ไม่ต้องกางมุ้งเขามีมุ้งลวด เรานอนชั้น๒มีเด็กราว ๗๐คน ชั้นล่างมีตู้เก็บของส่วนตัวคนละตู้ อาบน้ำกันนอกอาคารนั้น มีบ่อน้ำทำด้วยปูนรูปสีเหลี่ยมผืนผ้ายาวราว ๑๕ฟุต สูงแค่เอว กั้นฝาด้วยไม้ ๓ด้าน ด้านที่ ๔ เป็นด้านติดถนน ไม่มีฝาแต่มีรั้วไม้กั้นพอบังตาคนที่เดินไปมาบนถนนได้...ในอ่างหรือบ่อน้ำเย็นใสแจ๋วไหลมาตามท่อจากบ่อบาดาล เด็กทุกคนมีขันน้ำของตัวเอง นุ่งผ้าขาวม้าลงมาจากตึกหอพัก อาบน้ำพร้อมกันได้คราวละ ๑๐คน แก้ผ้าอาบน้ำกันทั้งนั้น ไม่มีกฎแต่ทุกคนต้องทำ...มีเด็กสงขลาคนหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ ใครก็ไม่รู้ลักผ้าข้าวม้าไป หมอนี่เอาขันน้ำปิดที่หว่างขา แล้วเดินโทงเทงผ่านโรงครัวไปฟ้องอาจารย์ชุมพรที่บ้านพัก แม่ครัวเห็นเข้าร้องเจี้ยวจ้าววางมีดวางหม้อวิ่งหนี
เขาทำอาหารให้กินวันละ ๓ มื้อ รวมทั้งเสาร์อาทิตย์ด้วย ตั้งแต่เริ่มไปโรงเรียนมาได้กินข้าว ๓ มื้อก็ในช่วง ๒ปีนี้เท่านั้น โรคพุงโรเพราะขาดโปรตีนของเราหายไป เด็กบางคนบ่นว่าอาหารไม่ดีแต่เราไม่เคยบ่น เรากินอิ่มทุกมื้อ มิน่าเล่าพอเรียนจบครบ ๒ปี เรากลับไปไชยาและเสวียดคนที่เคยรู้จักเรา เห็นเราแล้วแปลกใจ "อ้ายหนิด มันผิดน้ำ" เขาว่า
13. พ่อค้าขายผงซักฟอก
ปลายปี๑ เพื่อนๆเขาไปสอบเทียบ ม.๘ กัน ส่วนใหญ่สอบผ่าน พอเริ่มเรียนปี ๒ บางคนลาออกไปเรียนมหาวิทยาลัยกันเลย ตัดหน้าพวกเด็กนักเรียนเตรียมเสียอีก คนมีปมด้อยอย่างเรา ไม่ได้เสาะรู้ไม่คิดการณ์ไกล ไม่เคยคิดเรื่องใหญ่ ได้กินดีอยู่ดีก็พอใจที่สุดแล้ว แม่ยังบังคับพี่ชาย ๒คนที่กินเงินเดือนให้ส่งธนาณัติมาให้เราอีกคนละ ๑๐๐ ก็เป็นครั้งแรกอีกที่มีเงินใส่กะเป๋าประจำ สุขีแล้าเรา แต่คนไม่เคยใช้เงินก็เผลอใช้หมดก่อนสิ้นเดือนเป็นประจำ การขอเงินเพิ่มต้องขอจากเหียดของพ่อ พี่คนนี้ไม่เคยขัด
เราโตแล้วต้องคิดหาเงิน ก็เห็นเพื่อนๆไปรับจ้างตัดอ้อยกันที่เมืองชลตอนปิดเทอมได้เงินมาเป็นมัด แต่ผิวเนื้อออกนิโกร และมีแผลเป็นตามตัวเพราะใบอ้อยบาดทั้งหน้าทั้งหลัง กรรมกรแบบนี้เราไม่สู้ บางคนรับจ้างต่อยมวย ฝึกกันจนแทบไม่มีเวลาทำการบ้าน ปากแตกหน้าบวม แต่พอได้ขึ้นราชดำเนิน เด็กรุ่นเราก็ถูกน็อกต้องเลิกกลับมาเรียน ปกศ.หากินทางสอนเด็กทุกคน บางคนยังได้แผลเป็นที่หน้าไปฝากแม่ด้วย
เราเองได้ฟังวิทยุ เขารับคนทำงานคนเดินสายตามบ้านขายผงซักฟอกยี่ห้อใหม่ เงินดีแบ่งเงินกันครึ่งต่อครึ่ง ฟังแล้วน่ารวย เรารีบไปสมัครทันที บริษัทจดชื่อและบัตรประจำตัวนักเรียนพร้อมมอบตะกร้าสีเขียวสีแดงให้เรา ในตะกร้ามีกล่องผงซักฟอกขนาดต่างๆครบครัน เขาสอนเทคนิกการขายให้นิดหน่อย เรามีหน้าที่ไปขายตามบ้านอย่างเดียว ครบ ๒วันต้องกลับมาที่บริษัทแบ่งเงินกันแล้วเอาของเพิ่มเติมไปขายต่อ...มันน่าจะง่าย เราคิดในใจ พอครบ ๒ วันเรากลับไปที่บริษัทตั้งแต่เช้าตามข้อตกลง เราคืนตะกร้าและของทุกชิ้นและขอลาออก เดินคอตกกลับหอพัก.... คนมีปมด้อยได้ไล่ตัวเองออกจากงานตำแหน่งแรก เรากลัวคน ไม่กล้าเคาะประตูบ้านคน ไม่กล้าบอกขายของ เรากลัวเขาไม่ซื้อ คงจะขี้อายด้วย สักบ้านเดียวเราก็ไม่กล้าเข้าไปเสนอขาย
14. จบ๒ปริญญาค่าตัว 1300 บาท
วันที่ ๓๐มิถุนายน ๒๕๐๔ เราได้เป็นข้าราชการครูตำแหน่งครูประจำชั้น ป.๖มาครบเดือนแล้ว โรงเรียนอยู่ข้างสถานีรถไฟธนบุรี วันนี้เราได้รับเงินเดือนๆแรก ๕๘๘บาท ที่จริงบรรจุ ๖๐๐ แต่เขาหักบำเหน็จบำนาญและเงินสะสม ดีใจเหลือเกิน มีเพื่อนครูและครูใหญ่เรียกเราว่า "คุณ" เด็กๆเรียกเราว่า "คุณครู" เราอายุแค่ ๑๙ พ่อแม่เด็กยกมือไหว้เราก่อน บางทีเรานึกไม่ถึงไหว้ตอบไม่ค่อยทัน แล้วเงินเดือนตั้งหลายร้อยนี่ กระเป๋าไม่เคยอุ่นแบบนี้เลย แบ่งเงินเดือนเดือนแรกนี้ส่วนหนึ่งไว้ เพื่อซื้อของ แม่เราชอบขนมเปี๊ยะไส้ลูกบัว ส่วนพ่ออะไรก็ได้ แกชอบทุกอย่าง ผ้าถุงปะเต๊ะอีกถุงให้พี่สาว พี่ชายอีกคนที่ทำนาอยู่บ้านก็ให้ของที่แกชอบคือแม่โขงขวดกลม เราเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน ตอนเช้ากินข้าวอิ่มท้อง แต่งตัวใส่เสื้อแขนยาวขาวผูกเน็กไท้ใส่เกือกหนัง ไปทำงานโหนรถเมล์...ชีวิตแบบนี้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว เคยคิดอย่างนี้ ปมด้อยที่เคยมีก็เริ่มจะจางหายไป...ก็ไม่อดแล้วนี่หว่า จะเอาอะไรมาก
ปีนั้นทองราคาบาทละ ๖๐๐ เท่ากับเงินเดือนเราพอดี ครูคนไหนประหยัดหน่อยก็ผ่อนค่าที่ดิน ๖๐วาแถวศาลายาได้ ราคาสูทกางเกงรวมเสื้อนอกชุดละ ๔๐๐-๕๐๐ บาท ครูส่วนมากมีกันไว้ใส่ไปงานแต่งงาน เราไม่เคยมีกับเขาเพราะเราคิดว่าแพงไป เงินเดือนเราแค่นั้นหาสมควรหลอกลวงตัวเองไม่ ความคิดปฏิวัติสังคมเริ่มจะมี มีครูทำตามหลายคนเหมือนกัน นอกจากนั้นแล้ว ภาษีสังคมอย่างอื่นๆตามมาทุกเดือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นค่าแต่งงานคน บวชนาค งานศพ ผ้าป่า กฐิน งานวันเกิดเจ้านายหลายระดับ เงินบำรุงสหกรณ์ครู(ที่จริงควรเรียกโรงรับจำนำหรือสหกรณ์สร้างหนี้) เมื่อเป็นแบบนี้ตอนปลายๆเดือน เราและครูจำนวนไม่น้อยต้องเอากางเกงและนาฬิกาข้อมือเข้าโรงจำนำ ครูบางคนปล่อยเงินให้ครูด้วยกันกู้ คิดดอกแพงลิ่ว ครูบางคนประหยัดเงินโดยนอนในห้องเรียน แต่ต้องตื่นเช้ามาก เพื่อเก็บเครื่องนอนซ่อนในตู้อย่าให้เด็กเห็น
การปรับเงินเดือนให้สูงขึ้นที่เร็วที่สุดคือการเรียนต่อ เราสอบเลื่อนวุุฒิเป็นครู พ.ม. และเรียนจบ กศบ.ในปี ๒๕๐๗ ตอนนั้นปริญญาตรีเขาจ่าย ๑๒๕๐บาท ก็ดีใจกันเป็นที่สุดแล้ว ใครจบก็รับปริญญาจากในหลวง มีการเฉลิมฉลองเสียเงินมากกว่าเงินเดือนเดือนหนึ่งเสียอีก มารู้ตอนหลังว่า เงินเดือนแค่นี้เราสู้แม่ค้าขายผักใต้สะพานลอยหน้าโรงเรียนของเราไม่ได้ เราเลยเปลี่ยนแผนเรียนวิชากฎหมายตอนกลางคืน จนได้ น.บ.เมื่อปี ๒๕๑๐...แม้จะได้ ๒ ปริญญา เมื่อคิดไปถึง ๑๐ ปีข้างหน้าอายุเราก็ใกล้จะถึง ๔๐ แต่สภาพเศรษฐกิจส่วนตัวคือยังยากจน...ปมด้อยประดังเข้ามาอีกแล้ว
15. จงเลือกที่อยู่ในประเทศอันสมควร
เราอายุ ๒๖ ยังไม่มีพันธะลูกเมีย แม้จะรู้สึกว่าค่อนข้างจะยากจน แต่เราคิดว่าช่องทางจะต้องมีอยู่ข้างหน้า พ่อแม่คดห่อให้เราเอาไปกินจนเราไปได้ถึงครึ่งทางแล้ว ขั้นต่อไปเราต้องคิดเอาเองบ้าง เราคิดอย่างนั้นความท้อถอยก็หมดไป มีแต่ความมุมานะ เราเห็นครูบางคนไปทำอาชีพรอง เช่นรับของเขามาขายพวกครูกันเอง ขับเท็กซี่ ออกเงินดอก เล่นแชร์ นายหน้าขายที่ดิน คนหนึ่งผลิตยาสระผมกันแก้หัวล้าน ทำเองในบ้านแล้วแบกใส้ลังไปส่งตามห้าง ตัวเขาเองอายุเท่าเรา แต่ผมบนหัวสักเส้นก็ไม่มี บางคนตัดสินใจเด็ดขาดทิ้งอาชีพครูไปปลูกข้าวโพดอ่อนส่งขายนอก เราเองก็ตั้งใจจะเปลี่ยนอาชีพไปหากินโดยใช้วิชากฎหมาย จึงเรียนกวดวิชาเตรียมสอบ นบท.วันสอบใกล้เข้ามาแล้ว.... แต่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนใจ เพราะเราสอบได้ทุนไปเรียนโทเมืองนอกทางวิชาครูได้...อยากไปนอกมานานแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่มีบ่อยๆ ตัดสินใจไม่ยาก แต่ก็ต้องฝึกฝนภาษาอยู่ร่วมปีจึงได้ไป
มหาวิทยาลัยอยู่ห่างเมืองใหญ่เกือบ ๑๐๐ กิโล แต่สะดวกสบายทุกอย่าง ปมด้อยเรื่องภาษาก็มีแต่มีรูมเมทเป็นฝรั่ง ในสาขาวิชาที่เราเรียน เราพยายามเรียนให้ลึกที่สุด จนเราเกิดความรู้สึกในใจว่าในวิชานี้คงไม่มีใครในประเทศไทยรู้มากกว่าเรา คิดได้ดังนี้ ความที่เคยกลัวคนเวลาเราออกไปพูดหน้าชั้นหมดไป ดังนั้นเมื่อจบกลับมาแล้วได้ตำแหน่งที่ต้องพูดให้ครูและครูใหญ่ฟัง แม้จะมีคนฟังเป็นร้อย เรายืนพ่นอยู่หน้าห้องประชุมใหญ่คนเดียว รู้สึกสบายมาก ไม่กลัวอีกแล้ว จึงพอสรุปได้ว่า ถ้าเราวิชาแก่กล้า ทำให้เราเกิดความมั่นใจ ความกลัวคน หรือความกลัวอันเป็นที่เกิดปมด้อยของเรานั้นหายไปได้
การได้ไปเมืองนอก ทำให้เราได้รู้ช่องทางในการทำมาหากินของเรา ที่นั่นคนมีปริญญาอย่างเรามีโอกาสดีมาก ที่จริงแล้วคนของเขาทุกคนแม้ไม่จบมหาวิทยาลัย ถ้าได้งานมีหลักมีฐานหน่อยก็ซื้อรถและบ้านได้ ไม่ต้องทรมารทรกรรมทำงานหามรุ่งหามค่ำหรือทำหลายอาชีพจึงจะพอกิน ถ้าใครได้เรียนถึงระดับปริญญา และได้งานทำตามความรู้ที่เรียนมา ฐานะทางเศรษฐกิจของเขาดีกว่าคนจบปริญญาในประเทศเรามากนัก ได้เที่ยวไปทั่ว ทุกบ้านไม่ว่าในป่าในดงเขามีถนนถึงตัวบ้าน เพราะทุกบ้านต้องมีรถ รถส่วนตัวเป็นปัจจัยที่๕ ของคนที่นี่...เมื่อเรารู้แจ้งดังนี้แล้วก็ได้ความคิดว่า คนเราทุกคนที่เกิดมา เลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เรื่องที่อยู่เราเลือกได้
อยู่วัดนานพอจำคำพระได้เลาๆว่า "จงเลือกที่อยู่ในประเทศอันสมควร"
16. ภารโรงปริญญาโท
ปี ๒๕๑๔ กลับจากนอก ต้องทำงานใช้ทุน ๓ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือ ศึกษานิเทศก์จังหวัดโคราช ตอนนั้นรู้สึกว่าวิชาแก่กล้ามาก ไม่กลัวคนอีกแล้ว ปมด้อยเรื่องปอดแหกขาสั่นเวลาพูดให้คนฟังในที่ประชุมเล็กใหญ่หายไปเหมือนปลิดทิ้ง แต่ว่าเงินเดือนยังอยู่ที่ ๒๒๕๐ บาท ตอนนั้นราคาทองบาทละเท่าไรจำไม่ได้ แต่ก็คงจะพอๆกันกับเงินเดือนที่เราได้รับ
เราชอบกิฬาแม้เราจะมีปมด้อยเรื่องนี้ เราก็อยากเล่น เคยไปดูเขาตีแบทมินตั้น ตีเทนนิส ตีกอล์ฟ อยากลองทั้งนั้นแต่ต้องเสียเงิน เงินมีบ้างแต่ก็ไม่สมควรจะเอาเงินไปตีเล่น โดยเฉพาะกอล์ฟ เราไม่กล้าเข้าไปดูเขาตีในสนาม ต้องแอบๆดูตามข้างรั้ว ก็กอล์ฟนี่เป็นกิฬาของคนรวย รู้กันอยู่แล้ว อดีตครูประชาบาลและตำแหน่งศึกษานิเทศก์ เงินเดือนแค่ ๒๐๐๐กว่า อย่าเข้ามาแหย ...ทราบแล้ว ก็ปลงใจ ชีวิตนี้อดเล่นแน่นอน เรามีปมด้อยเรื่องกิฬาบ้าบอนี้เข้ามาอีก ที่จริงก็ "เงิน" ตัวเดียวเท่านั้น ถ้ามีเงินมากบ้านเราซื้อได้แทบทุกอย่าง ตัวยาขัดปมด้อยที่ดีที่สุดก็คือเงิน
เราได้ตัดสินใจเลือกที่อยู่แล้วเมื่อ ๓ ปีก่อน เรามั่นใจว่าที่นั่นสำหรับเรา เราจะต้องหาเงินง่ายกว่าที่นี่ ก็ที่นี่เราลองมาแล้ว ๑๒ปี มองไปข้างหน้าก็จนกับจนเท่านั้น คนมีปมด้อยอย่างเราเรื่องการหาเมียรวยไม่เคยคิดเสียด้วย กลัวเมีย แม่ยายและพี่น้องฝ่ายเมียยัดปมด้อยให้แก่เราอีก
ปี ๒๕๑๗ หลังจากเราได้ร่วมเดินขบวนไล่ ๓ทรราชย์ออกจากประเทศไปแล้ว เราตัดสินใจลาออกจากราชการ ได้เงินบำเหน็จ ๑ หมื่นบาท เกือบพอค่าเรือบิน ตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอกอีกหนที่ มหาวิทยาลัยเดิมที่เคยเรียนมา อาจารย์ที่ปรึกษาถามว่า ตั้งใจจะเรียนวิชาเอกอะไร เราตอบว่าวิชาใดก็ได้ที่คนไม่ค่อยเก่งภาษาอย่างเราอาจจะหางานทำได้ในประเทศนี้ อาจารย์แนะว่า ตำแหน่ง Media Specialist หรือครูบรรณารักษ์ยุคใหม่ โอกาสท่าจะดี เราก็เรียนวิชานั้น
จะเอาค่าเรียนเทอมละ ๕๐๐ เหรียญกว่ามาจากไหน? เงินที่ติดตัวมาเสียค่าเช่าห้องใต้ดินเป็นที่ซุกหัวนอนก็หมดแล้ว เราเดินดุ่มๆไปเรื่อยๆก็เจอเจ้าของบ้านที่เราเคยเช่าเขาอยู่เมื่อ ๓ปีก่อนนี้ เขาเป็นหัวหน้าภารโรงศาล เราขอทำงานกับเขา เขาว่าทำวันนี้เลยคนขาดอยู่พอดี เราเรียนวิชามีเดียตอนกลางวัน เป็นภารโรงตอนกลางคืน ทำตั้งแต่ ๔โมงเย็นถึงเที่ยงคืน อาทิตย์ละ ๕วัน ไม่เลวเลยเงินเดือนออกมา ๕๕๐ ดอล ทำเดือนเดียวก็ได้ค่าเทอมแล้ว หลังจากนั้นอีก ๒ เดือนเราก็มีรถมือสองขับอีกด้วย การเป็นภารโรงแต่ได้ค่าจ้างเดือนละหมื่นกว่าบาทเราภูมิใจมาก บอกเพื่อนๆคนไทยเต็มปาก ไม่รู้สึกมีปมด้อยเลย คนไปเรียนนอกเป็นภารโรงกันมาก บางคนกลับมาไทยได้เป็นใหญ่เป็นโต และมักปิดบังเรื่องเคยรับจ้างฝรั่งถูพื้นล้างส้วม เขารักเงินแต่กลัวเสียศักดิ์ศรี
เรียนอยู่ ๑๕ เดือนก็จบ ได้ใบประกอบอาชีพครูบรรณารักษ์ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึง เกรด ๑๒ ...แต่เรื่องยากลำบากอยู่ข้างหน้า
17. ลาก่อนความจน
งานดีไม่ว่าที่ไหน หายากทั้งนั้น หางานที่เมืองนอกไม่มีการสอบ เขาประกาศว่ามีงานว่างในสาขาวิชาเราที่ไหน เราก็ส่งใบสมัครไป ส่งไปแล้วก็รอ โดยมากเขาตอบ ตอบว่าไม่รับ ได้คนเสียแล้ว คงจะโกหกเราก็ได้ เราจะไปรู้ได้อย่างไร บางแห่งถ้าเขาสนใจเราก็เรียกเราไปคุย ก็สอบสัมภาษณ์นั้นแหละ เราไม่เลือกงาน ไปสัมภาษณ์โรงเรียนเดียวก็ได้งานเลย กำหนดเริ่มทำงาน เดือนกันยา ปี ๒๕๑๙
ก็อาจจะเพราะโรงเรียนอยู่ในที่กันดาร แข่งขันกันน้อยหน่อย หรือว่าเรามีปมด้อยชอบถ่อมเนื้อถ่อมตน ที่ว่ากันดารคือไกลจากเมืองใหญ่ แต่มีโทรทัศน์ โทรศัพท์ มีน้ำมีไฟและถนนถึงบันไดบ้าน โรงพยาบาลยังก็มี วิทยาลัยก็มี เป็นเมืองเล็กมีคนไม่ถึง๑๐๐๐ แต่นักเรีียนมี ๒๐๐๐ กว่า บ้านเด็กส่วนใหญ่อยู่ไกลโรงเรียนนอกเมืองออกไป และอยู่ห่างๆกันมาก เพราะที่นี่เป็นถิ่นอินเดียนแดง เผ่านาวาโฮ อาชีพเลี้ยงแพะแกะ โรงเรียนมีรถบัสรับส่งเด็ก การสอนไม่ยาก ครูใหญ่เอาใจครูน้อย ส่วนเรื่องเงินเราไม่ต้องห่วงแล้ว คนกินข้าวกินน้ำชุบอย่างเรา ทุกเดือนเงินเดือนเหลือเกินครึ่ง
ก็เราคนชอบกิฬาแม้ว่าสู้เขาไม่ค่อยได้ในไทย แต่เมืองนอกสบายมาก ที่เราทำงานคนเขานิยมเล่นกิฬากันหลายอย่าง เช่น ตกปลา ล่าสัตว์ กลางคืนเล่นไพ่ ของที่เราชอบทั้งนั้นและไม่ต้องใช้พละกำลังมาก ถ้าเราไปตกปลาเราได้กินปลาสดทุกที ที่เหลือกินก็เข้าช่องน้ำแข็ง สัตว์เล็กๆเช่นกระต่าย และนกเขานกคุ่มเราล่า ล่ากันเป็นฤดูกาลต้องมีใบอนุญาต ปืนลูกกรดและปืนลูกซองเรามีพร้อม พวกกวางเล็กกวางถึกคนอื่นเขาล่ากัน เราใจไม่กล้า ส่วนเรื่องการเล่นไพ่สำหรับเราถนัดอยู่แล้ว สกีหิมะลงเขา สเก็ดน้ำแข็ง เทนนิส ก็เคยเล่นแต่ไม่ค่อยชอบ ...แต่มีกิฬาอย่างหนึ่งคือกอล์ฟ นึกชอบ เห็นครูๆเขาไปเล่นกัน บางทีเราก็ตามหลังเขาไปดูเขาเล่น เขาหัวเราะฮาตึงสนุกกัน แต่เรากลัวกิฬานี้มาก ติดความกลัวมาจากไทย เรากลัวว่ามันแพง ต้องเสียค่ากรีน ค่าลูก ค่าเกือก ค่าถุงมือ ค่าไม้ชุดหนึ่งคิดว่าคงตั้ง ๑๐๐๐เหรียญ นอกจากแพงแล้วเรากลัวอีกว่าจะสู้เขาไม่ได้ หวดกันทีเต็มแรงเสียงดังเสียวไส้...ความกลัวทำให้เราไม่กล้าถามใคร เก็บปมด้อยเอาไว้ในใจ แกล้งทำเป็นไม่สนใจ อยากเล่นนั้นอยาก แต่ความกลัวกิฬาบ้าบอนี้มีมากกว่าความอยาก
18. ครูประชาบาลเล่นกอล์ฟทุกวัน
กาลล่วงไปจนถึงปี ๒๕๓๔ เราอายุ ๕๐ ปีพอดี ตอนนี้เราได้งานใหม่ในเมืองขนาดปานกลาง อยู่ไม่ไกลจากลาสเวกัสนัก เมืองนี้มีสนามกอล์ฟ ๒สนาม ครู ครูใหญ่ไปเล่นประจำ ภารโรงก็ไปเล่นแถมมาเล่าให้เราฟัง ว่าตีแล้วสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ได้แต่ฟังเขาเล่า ความอยากเล่นและความกล้ามีมากขึ้น... เหตุเกิดเมื่อวันหนึ่งเพื่อนครูที่สนิทสนมกันชวนเราไปเดินเป็นเพื่อนดูเขาเล่น เราก็สังเกตว่าเขาเสียค่าตีเท่าไร ก็แค่ ๘ ดอล เราถามว่าต้องเสียค่าสมาชิกอีกหรือเปล่า เขาว่าไม่ต้อง เราถามว่าค่าไม้ชุดละเท่าไร เขาว่าของเก่าไม่เกิน ๕๐-๖๐ ดอลก็มี เราสังเกตวิธีเขาตีทุกขั้นตอน ดูแล้วไม่ยาก ก็เราเคยดูในทีวี ดูแล้วเล่นง่ายดี พละกำลังก็ไม่ต้องมาก คนตัวเล็กตีไกลกว่าคนตัวใหญ่ก็มี...พอไปถึงหลุมที่ ๓ มีเรากับเพื่อน ๒คนเท่านั้น เขาเอาลูกกอล์ฟตั้งบนT แล้วเอาไม้กอล์ฟยัดใส่มือเรา บอกให้เราลองตี ขยั้นขยอกันนาน เราก็ตั้งท่าที่คิดว่าเหมือนนักกอล์ฟในทีวี เอาไม้จ่อหลังลูก ตาจ้องที่ลูก ขันไม้ไปข้างหลัง แล้วก็ตี ครั้งที่๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ตีผิดลููกทุกที....จิมเพื่อนเรายิ้มและหัวเราะก๊ากใหญ่ ครั้งที่ ๔ ตาเราจ้องที่ลูกเขม็งแล้วตีอย่างแรง ถูกลูกแต่มันกลิ้งดินไปทางขวามือเพียงไม่กี่ฟุต....เราบอกกับจิมว่า เราชอบกิฬานี้วะ เขาว่าทำไมจึงชอบ "นึกว่ามันง่าย" เราตอบ
บ่ายวันนั้นจิมพาเราไปซื้อไม้กอล์ฟรวมทั้งถุงชุดหนึ่งจากโรงจำนำ ราคา ๕๐ดอล จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ครบ ๑๕ปีพอดี เราชอบกิฬานี้เป็นชีวิตจิตใจ เราตีเราฝึกซ้อมทุกวันก็ว่าได้ ในประเทศนี้กอล์ฟมิใช่กิฬาของคนรวยหรือเจ้าใหญ่นายโต แต่เป็นกิฬาของคนทุกเพศทุกวัย ๓-๔ขวบ หรือ อายุ ๙๐กว่าก็มี คนจนคนรวยเล่นกอล์ฟกันได้ทุกคน เพราะไม่ใช่กิฬาแพง ไม่ต้องมีเงินถัง ไม่ต้องเป็นนายพล นักการเมือง หรือมียศถาบรรดาศักดิ์ สรุปแล้วการเล่นกอล์ฟที่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีพิธีรีตอง คนเดียวก็เล่นได้....ความยากจนที่ทำให้เรามีปมด้อยผ่านพ้นเราไปนานแล้ว ก็ตั้งแต่ปีแรกที่เราได้เราได้งานทำในโรงเรียนในประเทศนี้ กอล์ฟเป็นปมด้อยชิ้นสุดท้ายได้จากเราไปแล้วเหมือนกันเมื่อ ๑๕ ปีก่อน
อดีตครูประชาบาลอย่างเราเล่นกอล์ฟได้ทุกวัน...เราเป็นคนไม่มีปมด้อยอะไรอีกต่อไปแล้ว

หนูทับทิมมีชื่อว่ากมลภัทร์ ไกรสินธุ์ตอนเเรกนึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีพี่น้องน้อยพ่อชื่ออำนาจ ไกรสินธุ์เเม่ชื่อลัดดาวัลย์ ครุฑซ้อน ย่าหนูไม่รู้ชื่อจริง ส่วนปู่เสียชีวิตตั้งเเต่พ่อยังเด็กตายเพราะถูกยิงนะเพราะพ่อเคยเล่าตอนนี้หนูอายุ10ปีเเล้ว
ตอบลบ