วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ตระกูลไกรสินธุ์

เรียน ญาติพี่น้องทุกท่านที่ใช้นามสกุล "ไกรสินธุ์"

ผมได้รวบรวมความเป็นมาของเครือญาติที่ใช้นามสกุลเรา ในการนี้ญาติพี่น้องหลายท่านได้ช่วยเหลือเก็บรวบรวมข้อมูลส่งมามาให้ผม ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี ยังมีรายละเอียดที่ไม่ครบถ้วน หรือผิดพลาดอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ผมจึงขอเชิญทุกท่านได้ช่วยกันเขียนแสดงความคิดเห็นว่าจะให้ผมเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขตรงไหนอย่างไรบ้าง อันดับแรกคุณผู้อ่านโปรดหาชื่อของคุณให้พบก่อน แล้วตรวจดูว่าต้องการให้ผมแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง แล้วบันทึกไว้ในช่องแสดงความคิดเห็นหรือส่งอีเมลไปบอกผม อันดับต่อไป ช่วยหาชื่อของญาติพี่น้องที่คุณรู้จักดี ตรวจดูรายละเอียดว่าควรแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร แล้วช่วยบันทึกไว้ในช่องแสดงความคิดเห็นหรือส่งอีเมลไปบอกผม อีกทั้งโปรดเขียนบอกรายละเอียดที่ผมจะติดต่อกับคุณได้ทางจดหมายหรืออีเมล และโปรดบอกว่าคุณเกี่ยวพันกับตระกูลเราอย่างไร เช่นบอกว่าคุณเป็นลูกใครหลานใครเป็นต้น ตัวผมเองเป็นลูกพ่อยุทธ แม่มี ไกรสินธุ์ ปู่ชื่อใจ ผมเกิดที่บ้านนกร้อง ต.เสวียด ตอนนี้อยู่เมือง Kingman, Arizona, USA ขอให้ทุกท่านได้ช่วยกันมีส่วนร่วมในการจัดทำเอกสารรายละเอียดของตระกูลเราให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น


ขอขอบคุณทุกท่าน

สนิท ไกรสินธุ์

.........................................................................................................................................................

ที่มาของเอกสารนี้

๑.นายรัตน์ ไกรสินธุ์ ได้บันทึกตามคำบอกเล่าของนางละเมียด วิมล ผู้เป็นพี่สาวที่บ้านทุ่งเตา เมื่อวันเสาร์ที่๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ บางตอนได้บันทึกจากคำบอกเล่าของนายทอง ไกรสินธุ์ ..
สำหรับครอบครัวของนายจรูญ นางเทื้อม ไกรสินธุ์ ผู้เขียนบันทึกคือนายกุณฑล ไกรสินธุ์ ผู้เป็นลูกชาย


๒.พล.รท.อรุณ ไกรสินธุ์ ได้บันทึกตามคำบอกเล่าของนายทอง นางเนื่อม ไกรสินธุ์ รวมทั้งจากความทรงจำของตัวของเขาเอง

๓.สนิท ไกรสินธุ์ ผู้รวบรวมและพิมพ์เอกสารนี้ ได้ปรับปรุงข้อความที่ได้รับมาจากหมายเหตุ ๑ และ ๒เป็นบางส่วน เพื่อให้รายละเอียดสอดคล้องกันได้ แต่รายละเอียดส่วนใหญ่ยังเป็นของผู้บันทึกที่ได้ส่งมา

๔.ละไม ไกรสินธุ์(หลานพ่อยุทธ) ได้เยี่ยมพระครูพิพัฒน์โพธิกิจ ตามคำบอกเล่าของพล.รท.อรุณ ...พระครูพิพัฒน์ได้บันทึกรายการในครอบครัวของท่านให้ (ดูขุนไกร+ยายเหนียง ..ลูกลำดับที่ ๓ ปู่นิล ไกรสินธุ์)

๕.สมบุญ นาคมิตร ได้ส่งรายละเอียดของอาเจ้าบ่าย และอานึก(ไกรสินธุ์)นาคมิตร มาให้

๖.กุณฑล ไกรสินธุ์ (หลานพ่อยุทธ) ได้ส่งบันทึกคำบอกเล่าของพ่อยุทธ เกี่ยวกับโปชู และขุนศรเกษตรศึกษากรมาให้ รายละเอียดเพิ่มเติมและแตกต่างจากคำบอกเล่าของพี่เมียด(๑) และของอาทอง(๒)ไปบ้าง

๗.ภควัตร ไกรสินธุ์ (ลูกชายของเสือแดงหรือ หลานอาเจ้ามาก) ได้ส่งบันทึกในสายของอาเจ้ามาก และในสายของอาขำ อาขึมมาให้ เข้าใจว่าเสือแดงเป็นคนเขียนบันทึกในสายของอาเจ้ามาก ส่วนในสายของอาขำและอาขึมผู้บันทึกอาจจะเป็นน้องเจ้าคอง ลูกชายอาขึม หากผู้รวมรวมเข้าใจผิดพลาด โปรดบอก

๘ เรวดี ไกรสินธุ์ (ลูกสาวคนที่ ๖ ของมงคล ไกรสินธุ์)ได้ส่งอีเมลรายงานตัวมายังผู้รวบรวมและได้ให้รายละเอียดในสายของลุงเพชร ไกรสินธุ์ ซึ่งผู้อ่านจะได้ทราบรายละเอียดในเอกสารนี้

๙. สมเกียรติ ไกรสินธุ์ (ลูกชายคนที่ ๔ ของโกมล ไกรสินธุ์) ได้ให้รายละเอียดลูกทั้ง ๔คน ของโกมล+นางจิ้น ไกรสินธุ์

๑๐.วรพจน์ ไกรสินธุ์ (ลูกชายคนที่๒ของอุบล ไกรสินธุ์ หรือหลานของอารื่น(พี่รื่น) หรือเหลนของปู่นิล) ได้ให้รายละเอียดพี่และน้องของเขา

๑๑. ไปรยา ไกรสินธุ์ (เหลนของทวดหรุ่น หรือรุ่น ไกรสินธุ์ หลานของปู่สุรินทร์ ไกรสินธุ์ ลูกของพ่อสกนธ์ ไกรสินธุ์) ได้ให้รายละเอียดในสายของพี่รุ่นหรือหรุ่น ซึ่งเป็นลูกคนที่๒ ของปู่นิลและย่าปุก บ้านชายท่า ต.เสวียด

๑๒.อาจารย์พินิจ พันธ์ชื่น น้องของพี่เนียบผู้เป็นภรรยาของพี่หลวงเยิ้ม ได้ส่งรายละเอียดของลูกๆของพีหลวงเยิ้มและพี่หลวงยอดมาให้...ขอบคุณครับ

๑๓.ผู้ไม่ระบุชื่อ ได้ส่งรายละเอียดลูกหลานของ นายเอือบ -นางเหิง เขียวนาวะมาให้...ขอบคุณครับ

๑๔. ธีรยุทธ ไกรสิทธิ์ ผู้เป็นหลานของพี่ลับ หรือเหลนของลุงเพชร ได้ส่งชื่อลูกทั้ง ๘คนของ พี่ลับ-พี่เอี้ยมมาให้...ขอบคุณครับ

๑๕. หลานโสรยา(ซี) ซึ่งเป็นหลานของพี่นวล ผู้เป็นลูกของลุงพัฒน์ ได้ส่งรายละเอียดบางส่วนเกียวกับลูกหลานของพี่นวลมาให้ ...ขอบคุณครับ

๑๖. หลานนันทิชา(แนน) เป็นลูกของหลานเนชรา(เน) ไกรสินธุ์ พ่อชื่อประชา(ชา) จำเนียร ) ปู่ชื่อนวล ทวดชื่อพัฒน์ ไกรสินธุ์ ได้ส่งรายละเอียดของลูกหลานพี่นวลมาให้...ขอบคุณครับ

๑๗. หลานกรรชลีย์ (ไกรสินธุ์) ยั่งยืน ลูกสาวของน้องเอื้อพรรณ์ (ไกรสินธุ์) เรืองศรี ได้ส่งรายละเอียดในสายของน้องเอื้อพรรณ์มาให้....ขอบคุณครับ

๑๘.หลานณัฐวุฒิ ไกรสินธุ์ หลานของลุงพัฒน์ ป้าแช่ม ได้ส่งรายละเอียดในสายของพี่ตึ้ง(ประพันธ์)มาให้...ขอบคุณครับ

๑๙. หลานธัญญลักษณ์(แหม่ม) ขุนไชยรักษ์ ลูกสาวน้องเขิม(ตาย)และน้องไพ ได้ส่งรายละเอียดในสายของย่าเพียร (ไกรสินธุ์) กล่อมนรา จากการสอบถามหลานบุญรอง(ลูกย่าเพียร)มาให้...ขอบคุณครับ

๒๐. หลานยมาภรณ์ ผู้เป็นหลานของน้องเงื่อม ได้ส่งรายละเอียดในสายของน้องเงื่อมมาให้ ขอบคุณครับ ...รายละเอียดก่อนนี้ได้จากการพูดคุยกับหลานแอน ศรีสมซึ่งบกพร่องไปบ้าง

๒๑. หลานณัฐวุฒิ ลูกพี่ประพันธ์(ตึ้ง) ได้สอบถามและส่งบันทึกรายละเอียดในสายของปู่ผั้ง คืออาคลายและอาหงวน...ขอบคุณครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใครเป็นต้นตระกูลไกรสินธุ์

(นี่เป็นคำบอกเล่าของพี่เมียด วิมล และของอาทอง ไกรสินธุ์) ผู้จดข้อความคือ รัตน์ ไกรสินธุ์ และพล รท.อรุณ ไกรสินธุ์


ตระกูลไกรสินธุ์ เริ่มต้นมาจากอำเภอคีรีรัฐนิคม พี่เมียดเล่าว่า แต่เดิมทีเท่าที่จำกันได้นั้น มีพี่น้อง ๒คนเป็นชายทั้งคู่ ผู้เป็นพี่ชื่อตาขุนเศรษ ผู้เป็นน้องชื่อตาขุนไกร .... แต่ตามบันทึกของพล.รท.อรุณ ตาขุนเศรษ(ฐ)และตาขุนไกรเป็นคนๆเดียวกัน หาใช่พี่และน้องกันไม่ บันทึกของพล.รท.อรุณมีดังนี้...

ตระกูล"ไกร"มีด้วยกัน ๔ ตระกูล เริ่มต้นมาจากนายชู นายชูนี้ได้ช้างเผือกมา ต้องนำไปถวายให้เป็นทรัพย์ของแผ่นดินที่มณฑลชุมพร ผู้รับช้างเผือกคือผู้ว่าราชการมณฑลต่างพระเนตรพระกรรณในขณะนั้น ก็คือราวปลายสมัยรัชกาลที่๕ นายชู(ทวดชู)ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น "ขุนเศรฐ" แต่คำว่า"ขุนเศรฐ"หรือ "ขุนเศษ"ฟังแล้วไม่เป็นมงคล จึงให้เปลี่ยนเป็น"ขุนไกร"ตั้งแต่นั้นมา ขุนไกร(หรือทวดชู หรือขุนเศรฐหรือขุนเศรษ)มีภรรยาหลายคน(อย่างน้อย ๔คน) การได้รับพระราชทานให้มีนามสกุล เริ่มมีเมื่อต้นรัชกาลที่ ๖ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๖ ลูกชายคนโตของขุนไกรจากแม่ทั้ง๔เป็นผู้ไปขอ ในเมื่อขุนไกรมีภรรยา ๔คน ขุนไกรจึงเป็นต้นตระกูลถึง ๔ ตระกูล ดังนี้


ตระกูล"ไกรสินธุ์"...มาจากภรรยาคนหนึ่งของขุนไกรที่ชื่อ"เหนียง" คนไปขอนามสกุลคงเป็นลูกชายคนโตชื่อใจ ขอใช้นามสกุลว่า"ไกรสิน" แต่เจ้าหน้าที่เขียนว่า "ไกรสินธุ์" คงเพื่อเพราะความสวยงาม


ตระกูล"ไกรวงศ์"...มาจากภรรยาอีกคนหนึ่งของขุนไกร ชื่ออะไรไม่มีใครจำได้ แต่ลูกชายชื่อ"วงศ์"เป็นคนไปขอนามสกุล ขอใช้ว่า "ไกรวงศ์" (พตท.มาโนช ไกรวงศ์ ย่าฟอง ไกรวงศ์ กำนันวิลาศ ไกรวงศ์ ต.น้ำหัก อ.คีรีรัฐ)


ตระกูล"ไกรมาศ"...มาจากภรรยาอีกคนหนึ่งของขุนไกร ชื่ออะไรไม่มีใครจำได้ แต่ลูกชายชื่อ "มาด"หรือ "มาศ" ขอใช้นามสกุลว่า "ไกรมาศ"(อาหลวงเจิม ไกรมาศ บางงอน ย่าพิน อาเฟื้อง อาฟื้น ไกรมาศ ต.น้ำหัก)

ตระกูล"ไกรเชนทร์"..มาจากภรรยาอีกคนหนึ่งของขุนไกร ชื่ออะไรไม่มีใครจำได้ แต่ลูกชายชื่อ"เชน" หรือ"เชนทร์" ขอใช้นามสกุลว่า "ไกรเชนทร์"

(๔ ตระกูลดังกล่าว ผู้บันทึกคือนายสนิท ไกรสินธุ์เข้าใจว่า เป็นการคาดเดาของ พล รท อรุณ ไกรสินธุ์ แม้ ๔ ตระกูลนี้เป็นญาติพี่น้องกันทางสายโลหิต แต่เป็นเพียงคำบอกเล่าของคนแก่ในตระกูล เพราะจนถึงวันนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่าภรรยาของขุนไกรฯ นอกจากยายเหนียงแล้วชื่ออะไรบ้าง)



ข้างล่างเป็นบันทึกของกุณฑล ไกรสินธุ์ ผู้เป็นหลานของพ่อยุทธ...นี่เป็นคำบอกเล่าของพ่อยุทธ ไกรสินธุ์)

พ่อยุทธเล่าว่า "โปชูเป็นกำนันและเลี้ยงช้าง มีอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่าพังแหมะ " ตอนพ่อยุทธเต็มบาว แหมะแก่แล้ว แต่พ่อยุทธทันได้ขี่คอ..."แหมะมันรู้สาเหมือนคน มันรักพ่อใจมาก มีอยู่คราวหนึ่ง พ่อใจพาแหมะไปกินซังข้าวใต้ต้นโหนด ต้นที่พ่อใจแกทำน้ำหวานเมาห้อยหน้าไว้ พ่อใจขึ้นตาลเอาน้ำหวานเมาลงมากิน กินมากจนเมานอนหลับในนาใต้ต้นโหนด แหมะได้อุ้มพ่อใจด้วยงวง แล้วพาพ่อใจมาส่งถึงเรือน มันวางพ่อใจบนพาไลบ้าน... แหมะเป็นช้างเหมียมีงาไม่ยาวมากเหมือนช้างพลาย เขาเรียกกันว่าเรียกว่าแหนง"

พ่อยุทธเล่าต่อว่า "พังแหมะเกิดลูกเป็นเผือกตัวหนึ่ง ทีแรกไม่มีใครรู้ เพราะแหมะคอยเอาดินเอาโคลนทาลูกของมันอยู่เสมอ เหมือนกับว่ามันไม่อยากให้ใครรู้ว่าลูกของมันเป็นช้างเผือก"..."แต่แหมะไม่สามารถปกปิดความจริงได้ตลอด วันหนึ่งโปชูเกิดรู้เข้า ว่าลูกของแหมะเป็นช้างเผือก ตามตำราคชลักษณ์ ช้างเผือกเป็นช้างคู่บุญญาบารมีของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ไพร่ฟ้าสามัญบุญไม่พอที่จะครอบครอง โปชูจึงได้นำช้างเผือกเชือกนั้นไปทูลเกล้าถวายในหลวงรัชกาลที่๕ โดยผู้ว่าการมณฑลชุมพรเป็นผู้รับ และเป็นผู้นำไปน้อมเกล้าถวายในหลวงที่บางกอกอีกทอดหนึ่ง ด้วยเหตุนี้โปชูจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์และราชทินนามเป็นการตอบแทน" "ขุนไกรสินธุเศรษฐุ์ คือยศที่ในหลวงพระราชทานมาให้ แต่คนบ้านเราทั่วไปเรียกโปชูกันสั้นๆว่า ขุนไกรมั่ง ขุนเศรษฐุ์มั่ง...


ทีนี้พอถึงสมัยรัชกาลที่๖ ทางการได้ประกาศให้มีการตั้งนามสกุลเพื่อจะได้รู้ว่าใครเป็นลูกใครหลานใคร พ่อใจซึ่งเป็นลูกชายคนโตของโปชูจึงไปขอใช้นามสกุลว่า...ไกรสินธุ์...ตามราชทินนามของโปชู จึงนับว่าโปชูเป็นต้นนามสกุล ไกรสินธุ์"

พอถึงตรงนี้แม่มี (ทิมเกต) ไกรสินธุ์เสริมว่า "โปชูมีเมียหลายคนไม่ใช่หรือ ลูกแม่อื่นๆที่ไม่ใช่ลูกของย่าเหนียงไม่ใช้นามสกุลไกรสินธุ์ไม่ใช่หรือ" พ่อยุทธว่า "จริงแหละ ยังมีนามสกุลไกรวงศ์ ไกรมาศ และไกรเชนทร์อีก แต่ประวัติเลือนไปเสียแล้ว"... พ่อยุทธเล่าต่อไปว่า "โปชูมีลูกกับย่าเหนียง ๖คน เป็นชาย ๔ หญิง ๒ พ่อใจเป็นคนแรก ถัดมาชื่อผั้ง นิล แล้วเป็นหญิงชื่อเพียร ชื่อพิน และสุดท้องชื่อปาน"

........................................................................................................................................................

ต่อไปนี้จะกล่าวแต่เฉพาะ"ตระกูลไกรสินธุ์" ซึ่งมีที่มาจากขุนไกร+ยายเหนียง บ้านที่เกิดของลูกๆแต่ละคนอยู่ที่ตำบลไหนไม่ทราบแน่ชัด แต่ผู้รวบรวมเข้าใจว่าคงเป็นตำบลเสวียด เพราะลูกๆหลายคนตั้งหลักฐานอยู่ที่ตำบลเสวียด






ขุนไกร(ชู)+ยายเหนียง

มีลูก ๖คน ชาย ๔หญิง ๒ ตามลำดับ คือ.... ๑.ปู่ใจ ๒.ปู่ผั้ง ๓.ปู่นิล ๔.ย่าเพียร ๕.ย่าพิน ๖.ปู่ปาน


(ขุนไกร+ยายเหนียง )ลูกลำดับที่ ๑ ปู่ใจ ไกรสินธุ์

มีภรรยา ๓ คน ตามลำดับคือ ๑.ย่าช่วย ๒.ย่าคุ้ม ๓.ย่าชู

๑.ปู่ใจ+ย่าช่วย

มีลูกคือลุงหลวงช้อย อยู่บ้านกลาง นายรัตน์ ไกรสินธุ์ ลูกของพ่อยุทธพอจะจำได้ว่า เขาเคยไปกินแตงจีนแตงไทยที่ไร่ของลุงหลวงช้อยที่นายหัน ลุงหลวงช้อยมีลูกชาย ๑คนชื่อบวย เป็นครูสอนวัดประตูใหญ่ อายุ ๒๐ กว่าๆก็ตายไป ขณะที่นายรัตน์กำลังเรียนอยู่ที่นั่น ตอนนั้นคงไม่มีการใช้นามสกุลกัน หรือถ้าใช้ "ไกรสินธุ์" บวยตายไปก่อนมีเมีย ตระกูลก็ขาด

๒.ปู่ใจ+ย่าคุ้ม

อาทอง ไกรสินธุ์บอกว่าย่าคุ้มไม่ใช่ชาวเสวียดแต่มาจากไหนไม่ทราบ ปู่ใจและย่าคุ้มอยู่บ้านกลาง ต.เสวียด ปู่ใจตายก่อนย่าคุ้ม หลังจากย่าคุ้มตาย บ้านนี้ตกเป็นสมบัติของนางเขียน (ไกรสินธุ์) ขุนไชยรักษ์ ผู้เป็นลูกสาว ปัจจุบันบ้านนี้เป็นเรือนร้าง หรือมีหลานเหลนคนใดอยู่ไม่ทราบแน่

ปู่ใจและย่าคุ้มมีลูกเป็นชาย ๕คน หญิง ๓ คน ดังนี้ ๑.ป้าทรัพย์... โมถ่าย ๒.ลุงเพชร...โมถ่าย ๓.ป้าศีล....บ้านกลาง ๔.ลุงพัฒน์...บ้านกลาง ๕.พ่อยุทธ...บ้านนกร้อง ๖.อาเขียน...บ้านกลาง ๗.อาไข(มี)...บ้านชายวัด ๘.อาเจ้ามาก...บ้านชายวัด

......................................................................................................................................................

(ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๑.ป้าทรัพย์+ลุงยง เวชเตง บ้านอยู่โมถ่าย


มีลูกชาย ๒คน พี่เยิ้ม พี่ยอด(ตาย)

พี่เยิ้ม(ภาพข้างล่าง)+พี่เนียบ มีลูกสาว ๕ คน ดังนี้ ๑. เยาวนีย์ ทิพย์สิริ ชื่อเล่น สังวาล มีบุตร ๒ คน มีหลาน ๒ คน ๒. กัลยา สงเคราะห์ ชื่อเล่น หยอย หรือ ตาดำ มีครอบครัวอยู่ระนอง ๓. บุญสนอง ตรีรัตนคุปต์ ชื่อเล่น สาวหีด ๔. อนงค์ ภูมิไชยา ชื่อเล่น นง อยู่บ้านเดิม มีบุตรสาว ๒ คน ๕. ทรงศรี วงศ์สุวรรณ ชื่อเล่น ศรี มีลูก ๒ คน ชาย-หญิง

พี่ยอด +พี่มณี อยู่บ้านท่าหัก ตายแล้วทั้ง ๒ คน พี่หลวงยอดได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น เวชวิโรจน์ มีลูกชาย ๑ คน ลูกหญิง ๒ คน ๑.นิวัติน์ เวชวิโรจน์ มีลูกชาย ๑คน ลูกหญิง ๑ คน ลูกสาวจบป.โท ธรรมศาสตร์ กำลังจะเข้าเรียนต่อ ป.เอกที่จุฬา ๒.ทัศนา ...จบครูจากจันทรเกษม ๓.แอว ...อยู่บ้านท่าหัก เป็นเถ้าแก่เนี้ย รับซื้อ ขายยางที่บ้าน เป็นธุรกิจใหญ่โต


พี่เยิ้ม เวชเตง
พี่ยอด เวชวิโรจน์




(ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๒.ลุงเพชร+ป้าสร้อย....อยู่บ้านป่าอ้อย โมถ่าย


มีลูก๕คน ลูกๆที่โมถ่ายใช้นามสกุล "ไกรสิทธิ์" เพราะไปเขียนผิดไว้ที่ว่าการอำเภอ

๑.พี่ล้อม ไกรสินธุ์ บ้านอยู่ไชยา(ตาย) ๒.พี่ลับ ไกรสิทธิ์ โมถ่าย(ยังอยู่) ใช้นามสกุล ไกรสิทธิ์ รวมทั้งคนอื่นๆที่อยู่ตำบลโมถ่าย ๓.พี่รับ ไกรสิทธิ์ โมถ่าย(ยังอยู่) ๔.พี่เรียง ไกรสิทธิ์ โมถ่าย (ตาย) ๕.พี่เอียด ไกรสิทธิ์ โมถ่าย (ยังอยู่)

.......................................................................................


ลุงเพชร+ป้าสร้อย ลูกลำดับที่๑ พี่ล้อม +พี่เรือน (ภรรยาคนที่๑) ไกรสินธุ์ มีลูก ๒คน ชื่อลาภ(ญ) และเยิ้ม(ช)


ลุงเพชร+ป้าสร้อย ลูกลำดับที่๑ พี่ล้อม+พี่เบี้ยว(ภรรยาคนที่๒) ไกรสินธุ์ บ้านอยู่ไชยา เดิมอยู่บ้านเสวียด ต.เสวียด มีลูกชาย ๓คนดังนี้

พี่ล้อม+พี่เบี้ยว ลูกคนที่๑ นายมงคล+นางปราณี ไกรสินธุ์ มีลูก ๗ คนดังนี้(ภาพครอบครัว)

๑.นายมนตรี (ไขเล็ด)+นางสาวไกรสินธุ์ มีลูกชาย ๒คนชื่อขวด และเบียร์

๒.นางมีศรี (เขียว)+เจ้ายัณห์ อินทวิเศษ อยู่ต.ปากฉลุย มีลูกสาว ๓คนชื่อ ฝน ตาล เตย ต่อมาสายัณห์ตาย มีศรีมีแฟนใหม่ชื่อค้ำ มีลูกสาว ๑ คนชื่อนุ๊ก

๓.นายเมธี(เจ้าคุ้ย)+นกไส้ ไกรสินธุ์ มีลูกสาว ๑คนชื่อลูกหมีหรือสุทัตตา ไกรสินธุ์

๔.นางราตรี (เหมียหีด)+เจ้าแดง ชูศรี อยู่ต.เสวียด มีลูกชาย ๓คน ชื่อ ปอ เปี้ยว ปลื้ม

๕.นายสิงหา (ไขดำ)+ตาดำไกรสินธุ์ มีลูกชาย ๑หญิง ๑ชื่อ แนน และนาย

๖.น.ส.เรวดี ไกรสินธุ์ เรียนจบ ม.ราม คณะบริหาร สาขาการเงินและธนาคาร ทำงานออฟฟิศ กทม.

๗.น.ส.จีระนันท์ ไกรสินธุ์ เรียนจบนิติศาสตร์ ม.ราม กำลังเรียนเนติบัณฑิต


ครอบครัวมงคล ไกรสินธุ์

พี่ล้อม+พี่เบี้ยว ลูกคนที่๒ โกมล+นางจิ้นไกรสินธุ์ มีลูก ๔คน ชาย ๓ หญิง๑

๑.นางวราภรณ์ คงหน่วย แต่งงานกับนายกฤษณะ คงหน่วย อยู่ ต.เสวียด

๒.นายไพรัตน์ ไกรสินธุ์ มีครอบครัวแล้ว ทำสวน อยู่ ต.เสวียด

๓.นายวัชรินทร์ ไกรสินธุ์ ทำงานโรงงานน้ำมันปาล์ม บ้านนกร้อง ต.เสวียด

๔.นายสมเกียรติ ไกรสินธุ์ Programmer อยู่ กทม.



พี่ล้อม+พี่เบี้ยว ลูกคนที่ ๓ โกเมน+ตับแกไกรสินธุ์ มีลูกสาว ๓ คน

๑. ขวัญใจ ไกรสินธุ์ (แต่งงานแล้ว) เป็นพยาบาล อยู่เกาะสมุย

๒. แมว

๓. เมย์

ลุงเพชร+ป้าสร้อย ลูกลำดับที่๒ พี่ลับ(ภาพข้างบน)+พี่เอี้ยม ไกรสิทธิ์ มีลูก ๘คน


๑.นางเรียบ (เรียบ) ไกรสิทธิ์

๒.นางบุญชา (ชา) ไกรสิทธิ์

๓.นายปราณี (ถึก) ไกรสิทธิ์ (ตาย) ภรรยาชื่อไร (ตาย)ที มีลูกชายชื่อ ธีรยุทธ(ต้ม)

๔.นางปราณี (อ้วน) ไกรสิทธิ์ อยู่ระนอง

๕.นาย........(เถิ้ง) ไกรสิทธิ์

๖. นายชูเนตร (ถ้าง) ไกรสิทธิ์

๗.นางอำไพ (เหมีย) ไกรสิทธิ์ (ตาย)

๘.นางอำพัน (หอย) ไกรสิทธิ์ สามีชื่อบรรจบ จันทร์เรือง เป็นอบต.ปากฉลุย มีลูก ๒คน คนแรกชื่อมนัสนันท์(จี๊ด) อยู่ระนอง คนที่๒ ชื่อวรวิทย์(โจ) เรียน วค.



ลุงเพชร+ป้าสร้อย ลูกลำดับที่ ๓ พี่รับ ไกรสิทธิ์ (หญิง)+พี่แผ้ว .....มีลูก ๕คน ดังนี้

๑.เผิด ช.(ตาย) ๒.ลุ้ย ช.(ตาย) ๓.มุ้ย ญ. ๔.ไข ช.(ตาย) ๕.เขียว ญ.



ลุงเพชร+ป้าสร้อย ลูกลำดับที่๔ พี่เรียง(ชาย)+นางบุญ ไกรสิทธิ์ มีลูก ๗คน ดังนี้

๑.ดำ ช. ๒.แมว ญ. ๓.เข้ง ช.๔. โน ช. ๕.ศักดิ์ ช.๖.หมี ช. ๗.บัว ญ.



ลุงเพชร+ป้าสร้อย ลูกลำดับที่๕ พี่เอียด+พี่คอง มีลูก ๖คนดังนี้ ๑.เลียง ช.๒.ลี ญ.๓.แหลง ช. ๔.ธรรม ช. ๕. เหลียง ญ. ๖.แหล้ม ญ

.......................................................................


ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๓.ป้าศีล+....อยู่บ้านกลาง (อยากได้ชื่อของสามีของป้าศีล) มีลูกหญิง ๒คน


๑.พี่เช้าเมียกำนันซ้อน ตายแล้วทั้ง ๒คน มีลูกชายยังอยู่คือท่านเซื่อน เป็นพระอยู่ในป่าระหว่างโมถ่ยและไชยา

๒.พี่สร้อย (ยังอยู่)สามีคือครูเคลื่อน(ตาย)มีลูกชาย ๒คน สาครและสำคัญ(อยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม)



.......................................................................



(ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๔.ลุงพัฒน์+ป้าแช่ม..อยู่บ้านกลาง มีลูก ๘คนดังนี้

๑.พี่เพื่อน...บ้านชายท่า(หญิง..ตาย)

๒.พี่เพิ่ม...บ้านกลาง มีลูก ๑คนชื่อมานิต(ยังอยู่)

๓.พี่เพียบ...บางงอน(ยังอยู่) มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อจินดา มีสามีชื่อสุเมน (ศรเกษตริน) ไกรสินธุ์ มีลูกชายชื่อฉัตรชัย(บอล) ไกรสินธุ์

๔.พี่ภาส...บ้านชายวัด(ยังอยู่)

๕.พี่นวล..เหียง(ตาย) +พี่พริ้ม(เหย้ง) อยู่บ้านเหียง ต.เสวียด



(ลุงพัฒน์+ป้าแช่ม) ลูกลำดับที่๕ พี่นวล+พี่พริ้ม มีลูก ๖ คนดังนี้

๑.นายชำนาญ(ตุ้ย) ไกรสินธุ์ ภรรยาชื่อมณฑา มีลูก ๒ คน(ต้องการรายละเอียด)

๒.นางเนาวรัตน์(ฉ้ง) ไกรสินธุ์ สามีชื่อ ด.ต.สุกิจ(กิจ) ประทุมสุวรรณ มีลูก ๒ คน คือ นส.ปัทมา(กิ๊บ) และนส.นันท์กมล(ก้อย) ประทุมสุวรรณ

๓.นายนพดล(โข้ง) ไกรสินธุ์ มีลูก ๔ คนคือ นส.ปิยนันท์(สาว) นส.อนงนิตย์(น้อย) นายมงคล(หมี) และนายฤทธิ์ชัย(ขาว)

๔.นายมานะ(สี) ไกรสินธุ์(ตาย) ภรรยาชื่อจิระพัน (แมว) (อินทะเชื้อ) ไกรสินธุ์ มีลูกสาว ๒ คนชื่อ สรีรัตน์ (ทราย)ไกรสินธุ์ และโสรยา(ซี) ไกรสินธุ์ (หลานสีตายแต่ลูกยังเล็ก)

๕.นางอรสา(ออ) ไกรสินธุ์ สามีชื่อ ชัยชนะ(อู๊ด) มีลูก ๑ คนชื่อ นายธวัชชัย(อ๋อง) มุนนท์

๖.นางเนชรา (เน) ไกรสินธุ์ สามีคนแรกชื่อ สกุล ณ บำรุง มีลูกสาว ๑ คนชื่อ นส.นันทิชา(แนน) ไกรสินธุ์ สามีคนที่๒ชื่อ ประชา จำเนียร มีลูก ๒ คนชื่อ นายเจนณรงค์(ป้วน) จำเนียร และนส.พัทรา(บุคนิค) จำเนียร



(ลุงพัฒน์+ป้าแช่ม)ลูกลำดับที่ ๖ พี่เหม็ก...บ้านกลาง(ตาย)



(ลุงพัฒน์+ป้าแช่ม) ลูกลำดับที่ ๗พี่ตึ้ง(ประพันธ์)...บางน้ำจืด(ตาย) ภรรยาชื่อนิ่ม (รักเขียว) ไกรสินธุ์

มีลูก ๒ คนคือ

๑.นางรัตนาภรณ์ (ไกรสินธุ์) ผ่อนย่อง สามีชื่อ ดต.เสริมสุข ผ่อนย่อง ปัจจุบันอยู่ สภอ.กระทู้ ภูเก็ต มีบุตร ๒ คนคือนายวงศพัทย์ ผ่อนย่อง อยู่ภูเก็ต(ป่าตอง) จบวิศวะ สงขลา และ ด.ช.อติกานต์ ผ่อนย่อง

๒.นายณัฐวุฒิ(ญาณ) ไกรสินธุ์ ภรรยานางพิมพ์นลิน(ตู่) วิชัยดิษฐ์ ยังไม่มีลูก อยู่บางน้ำจืด ๔๗หมู่ ๒ ต.เขาถ่าน อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ ๘๔๑๕๐ อีเมล nattawut1132@hotmail.com Tel: 0-7726-0398 Cell: 08-9727-9889



(ลุงพัฒน์+ป้าแช่ม) ลูกลำดับที่๘.พี่ชู สามีชื่อพี่ย้วน พัฒน์ชนะ

มีลูก ๓ คน ชื่อ (๑)วินัย(แดง) สมรสนางไพบูรณ์ มีลูก ๒ คน ชื่อ สุดารันต์ และพิราลักษณ์...(๒) นายนิวัติ(ดำ) เสียชีวิต (๓)นายพัฒนา(ขาว) สมรสนางวัน มีลูก ๒ คน อยู่ต.เสวียด บ้านกลาง โทร ๐ ๘๔๗ ๔๖๙ ๖๗๖

..........................................................................



(ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๕.พ่อยุทธ+แม่มี(2441-2535....2445-2538) อยู่บ้านนกร้อง มีลูก ๖คน หญิง ๑ คน ชาย ๕คน(ดูรายละเอียดข้างล่าง)

แม่มี นามสกุลเดิม ทิมเกด(ทิมเกต) อยู่บ้านนกร้อง พ่อชื่อพ่อเฒ่าเกด แม่ชื่อแม่เฒ่ากาด มีพี่ชาย ๓คนชื่อ ลุงชู ลุงชุม และลุงเผือก มีพี่สาว ๑คนชื่อป้าเกราะ ไม่มีสามี แม่มีเป็นคนสุดท้อง นายอยู่ ทิมเกต (ยังอยู่)เป็นลูกของลุงชู ส่วนลุงชุมนั้นเป็นพ่อของหลวงแผลด และหลวงต้วน จะเห็นได้ว่าบ้านของแม่มี หลวงอยู่และหลวงต้วนอยู่รั้วติดกันทั้ง ๓หลัง ?อาจารย์เหล็ก หลวงแฟ้น...เป็นญาติกับแม่มีอย่างไร? (ปู่นิล มีภรรยาชื่อปุก อาจารย์เหล็กเป็นน้องย่าปุก ย่าปุกเป็นลูกพี่ของแม่มี (ทิมเกต) ไกรสินธุ์) ?น้าขืน(หญิง) อยู่บ้านบางแหลม เป็นญาติกับแม่มีอย่างไร? ?น้าสร้อย บ้านท่าเคย เป็นญาติกับแม่มีอย่างไร? (ใครรู้บอกผู้รวบรวมด้วย

พ่อยุทธ+แม่มี มีลูก ๖ คนดังนี้


๑.นางละเมียด วิมล(ตาย) (ภาพบนคนที่ ๑ จากซ้าย)สามีชื่อนอบ(ตาย) วิมล ชาวบ้านหนองกุล มีลูกสาวชื่อราตรี(ตุกหมิก) ลูกชายชื่อหยุ้ง

๒.ด.ช.คล่อง ตายตั้งแต่ยังเล็กๆ ไม่ทราบอายุและสาเหตุการตาย

๓.นายจรูญ (ตาย) (ภาพรวมข้างบนคนที่๒ )ภรรยาชื่อเทื้อม(ตาย) ชาวบ้านไสน้อย มีลูก ๖ คน (รายละเอียดข้างล่าง)

๔.นายรัตน์ (ภาพรวมข้างบนคนที่ ๓)ภรรยาชื่อประจวบ พุฒทอง อยู่ต.ทุ่งเตา อ.บ้านนาสาร ไม่มีลูก

๕.นายจรัส (ภาพรวมข้างบนคนที่ ๔)ภรรยาชื่อเพ็ญวิไล อยู่ อ.เมืองจ.นนทบุรี ลูกชายชื่อวุฒิชัย จบMarketing, Wharton,U of Pennsylvania มีภรรยาชื่อฟ้า มีลูกสาวชื่อ แบมบี้ น้องสาวของวุฒิชัยชื่อพิมใจ จบบรหารธุรกิจจากU. Arizona สามีชื่อธีรัฐ โรจน์วัชราภรณ์ ทั้งสามีภรรยาเป็นผู้บริหารโรงแรม

๖.นายสนิท(ภาพรวมข้างบนคนที่ ๕) ภรรยาชื่อ โจแอน (ภรรยาคนแรกชื่อแครอล-หย่า) อยู่รัฐอริโซน่า อเมริกา ลูกสาวชื่อ นันทิยา(Nantia Krisintu) (แม่ชื่อแครอล) อยู่อลาสก้า Nantia มีลูกชาย ๒คน ชื่อJakob Krisintu และEtienne Kilcher ภรรยาคนที่๒ของสนิท ชื่อโจแอน(JoAnn Dynes Krisintu) มีลูกสาว ๒คนชื่อ ละไม(Lamai Krisintu)และ มาริสา (Marisa)ทั้ง๒คนจบป.ตรี ม.อริโซนา มาริสาจบกฎหมาย Doctor of Jurisprudence และได้แต่งงานกับ Jeff Kotalik และได้ชื่อใหม่คือ Marisa Krisintu Kotalik(ภาพครอบครับข้างล่าง) ภาพด้านขวา Marisa and Jeff Kotalik มีลูกสาว ๑ คน ชื่อ Esme ปัจจุบันอยู่ Phoenix, AZ


(ยุทธ+มี)ลูกลำดับที่ ๓ นายจรูญ + นางเทื่อม (ศักดิ์แก้ว)ไกรสินธุ์ (ภาพข้างล่าง)(ตายทั้ง ๒คน) มีลูกชาย4 คน ลูกหญิง 2 คน

1.นายสุนทร ไกรสินธุ์ แต่งงานกับ นางระวี ชาวบ้านบางครั่ง อ.คุ ระบุรี จ.พังงา ไปตั้งหลักฐานที่บ้านเมียมีลูกหญิง 1 คน ชื่อศุภลักษณ์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นณิชาภา ในเน็ทใช้ชื่อ (Bobopung Kraisin) ลูกชาย ชื่อนายบอล ใช้นามสกุลไกรสินธุ์

2.นายกุณฑล (ศักดิ์แก้ว) ไกรสินธุ์ แต่งงานกับ นางสุปราณี (โภชนะคง) ไกรสินธุ์ ชาวบางกอก ไปตั้งหลักฐานที่ ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ. นนทบุรี มีลูกชาย 1 คน ชื่อ นายภูมิใจ (โภชนะคง) ไกรสินธุ์ และลูกหญิง 1 คน ชื่อ ดญ.เพียงฤทัย (โภชนะคง) ไกรสินธุ์

3.จ่าเอกอนนธ์ ไกรสินธุ์ แต่งงานกับ นางอำนวย ชาวบ้านท่าฉาง ตั้งหลักฐานที่บนควรเนียงคู่ หมู่ 3 ต.เสวียด อ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี มีลูกชาย 1 คน ชื่อ นายนำพล ไกรสินธุ์ ลูก หญิง 1 คน ชื่อ ดญ. กชกร ไกรสินธุ์

4.นางสุวณี (ไกรสินธุ์) นวลเนตร แต่งงานครั้งที่ 1 กับ พจอ.บุญ เลิศ กิติสุบรรณ มีลูกชาย 1 คน ชื่อ นายเตชะสิทธิ์ (ไกรสินธุ์) กิติสุบรรณ หลังจากหย่าจึงแต่งงานใหม่กับนายสงกรานต์ นวลเนตร ยังไม่มีลูกด้วยกัน

5.นายสิทธิศักดิ์ ไกรสินธุ์ แต่งงานกับนาวาโทหญิงแห่งราชนาวีไทย ยังไม่มีลูก

6.น.ส.ลักษณะ ไกรสินธุ์ (มด)


..........................................................................


(ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๖.อาเขียน+อาขัน ขุนไชยรักษ์ อยู่บ้านกลาง (ตายแล้วทั้ง ๒ คน มีลูก ๖คนดังนี้ ....(ผู้รวบรวมอยากได้รายละเอียดของทุกคน)

๑.น้องแข (ภาพซ้าย)สามีชื่อราย บ้านชายวัด

๒.น้องเขือง (ภาพซ้าย) อยู่บ้านกลาง

๓.น้องขิน อยู่บ้านท่า ท่าฉาง

๔.น้องเขือม อยู่โมถ่าย (ตาย)

๕.น้องเขียม อยู่บ้านดอน สามีชื่อกฤษฎา(กบ) ศรเกษตริน(ลูกของลุงจินดา หรือ หลานของโปรุ่ง ศรเกษตริน)

๖.น้องเขิม อยู่ กทม.(ตาย) ภรรยาชื่อน้องไพ ลูกกำนันห้วง มีลูก ๓ คน คือ แหม่ม หรือ ธัญญลักษณ์ ทำงานห้องแล็บ รพ.เจริญกรุง นิ้ง หรือธีรศักดิ์ และหน่อง(ประวิทย์)

.............................................................................


(ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๗.อาไข(มี)(ภาพซ้าย)+อามา ไกรสินธุ์ บ้านชายวัด (ตายแล้วทั้ง ๒ คน) มีลูก ๖คน ยังอยู่ทุกคน...(อยากได้รายละเอียดทุกคน)

๑.น้องมูล (ภาพซ้าย)สามีชื่อขิน บ้านชายวัด

๒.น้องขืน (ภาพซ้าย)บ้านพรุไล ภรรยาชื่อเหลิม ลูกหลวงโอบ พี่ลอย...มีลูก ๓คน คือ เม่น(ญ) หมี (ช) และแหลม(ช)

๓.น้องเมือง อยู่เหียง

๔.น้องศักดิ์(รูปข้างล่าง) เดิมอยู่นาสาร ปัจจุบันเกษียณอายุอยู่เชียงใหม่กับภรรยาคนที่๒ ภรรยาคนแรกชื่ออนงค์(ตาย) มีลูกชาย ๓คนชื่อ ธานินทร์ อนุสร และอัครวัฒน์ ...ภรรยาคนที่๒ชื่อเดือน มีลูก๔คน ชื่อ ๑.น้อย(ทำงานที่ รพ.สุราษฎร์) ๒.นุด(ช่างธนาคารกรุงไทย) ๓.เอียด(งานประปาไชยา) ๔.พิมพ์พิชชาหรือน้องเมย์ (ผู้ช่วยเภสัชกร อยู่กทม.)

๕.น้องแพน บ้านดอน มีลูก ๓คน สามีคนที่๑ ชื่อ กฤษฎา(กบ) ศรเกษตริน (ซึ่งเป็นลูกของลุงจินดา ) มีลูกชายชื่อสุเมน (ศรเกตริน) ไกรสินธุ์ สุเมน มีภรรยาชื่อจินดา(ลูกของพี่เพียบ บางงอน หรือหลานของลุงพัฒน์) มีบุตรชื่อฉัตรชัย(บอล) ไกรสินธุ์...สามีคนที่๒ของน้องแพน ชื่อน้องวิน มีลูกสาว ๒คนชื่อติ๋ม(ตาย) และหยิก

๖.น้องเขียว บ้านดอน แต่งงานแต่ไม่มีลูก (ผู้รวบรวมอยากได้รายละเอียดของทุกคน)

.........................................................................

(ใจ+คุ้ม)ลูกลำดับที่๘.อาเจ้ามาก(ภาพล่าง)+อาตา(คงแก้ว) ไกรสินธุ์....บ้านชายวัด (ตายแล้วทั้ง ๒ คน) มีลูก ๘ คน ดังนี้

๑.น้องเตื่อม บ้านชายวัด ม.ที่ ๘ สามีชื่อ ล้ำ มีบุตร ๑คนชื่อลิ้ม (สารภี นิลแสง)

๒.น้องเตื้อม (หมก) สามีชื่อน้องรวบ ชูจินดา อยู่ ม. ๕ ต.เสวียด บ้านท่าหลุมพอ มีบุตร ๗คน ๑.นายสมควร ชูจินดา+นางกาญจนา ๒.นางยุคล ชูจินดา+นายจรูญ ทวีรัตน์ ๓.นายสุนทร ชูจินดา+นางนงเยาว์ ๔.นายไพทูลร์ ชูจินดา+นางผ่องศรี ๕.นางอนงค์+นายไพรวัลย์ ภักดีพรหม ๖. นายวิทยา ชูจินดา+นางจินตนา ๗. นายนเรศักดิ์+นางเอื้อมพร

๓.น้องช้อยหรือนายภูมิสวัสดิ์(ตาย)+นางแข ไกรสินธุ์ มีลูก ๓ คน คือ นายเกรียงศักดิ์ ไกรสินธุ์ น.ส.ทรงศรี ไกรสินธุ์ และ น.ส.เกษร ไกรสินธุ์ บ้านอยู่ ต.มะลวน

๔.น้องชิน +นางบุญหา อยู่ท่าหลุมพอ

๕.น้องโชติ(ตาย เมื่ออายุ ๒๐ปี)

๖.น้องวิโรจน์+นางแข อยู่ม.๔ ต.ท่าเคย

๗.น้องเหมีย หรือ น.ส.บุญเอี้ยน ไกรสินธุ์ ไม่ประสงค์จะมีทายาท

๘.น้องเสือแดงหรือนายวิจิตร(ภาพด้านซ้าย)+นางคณาพร ไกรสินธุ์ มีบุตร ๒คน ๑.นายภควัตร ไกรสินธุ์ จบ ปริญญาโท Microbiology ที่มหาวิทยาลัยเกษตร ๒.น.ส.กัตติมาส(ฉัตร) ไกรสินธุ์ ป.ตรี ม.หอการค้า ทำงานที่สีลม กทม.
......................................................................


(ขุนไกร+ยายเหนียง) ลูกลำดับที่๑ คือปู่ใจ มีภรรยาคนที่ ๓ชื่อย่าชู


๓.ปู่ใจ+ย่าชู ย่าชูเป็นภรรยาปู่ใจคนที่๓ มีลูกหญิง ๑ คนชื่อเอม อยู่บ้านนกร้องที่บ้านของอาเจ้าวอน ติดกันกับบ้านน้าคุ้ม รายละเอียดอื่นๆพี่เมียดไม่ทราบ (ใครทราบบอกผู้รวบรวมด้วย)


******************************************************************************


(ขุนไกร+ยายเหนียง)ลูกลำดับที่ ๒ ปู่ผั้ง ไกรสินธุ์ (ปู่ผั้ง+ย่าพู) (ตายแล้วทั้ง ๒ คน) มีลูก ๔คน...(อยากได้รายละเอียดทุกคน)

ปู่ผั้ง+ย่าพู ลูกลำดับที่๑.อาเคลื่อน มีภรรยาชื่ออาหมิก อยู่คลองขุด (ตายแล้วทั้ง ๒ คน) มีลูก๕คน ดังนี้

๑.น้องเงื่อม (ไกรสินธุ์) กลับวิเศษ สามีชื่อ น้องห้วง กลับวิเศษ(ตาย) อาชีพขายข้าวสาร น้องเงื่อม ทำสวนเงาะ เดิมอยู่คลองยัน ปัจจุบันน้องเงื่อมอยู่ กทม.กับลูกชายชื่อขาว ...น้องเงื่อมมีลูก ๗ คน ดังนี้(บันทึกโดย ยมาภรณ์)
๑. หมอสมบูรณ์ ๒.ป้าแดง ลูก ๒ คน คือพี่ปุ๊ก กับพี่เปี๊ยก ๓. ลุงชุมพล มีลูกพิเศษ กลับวิเศษ ๔.พ่อโพยม มีลูก ยมาภรณ์ กับวัชรพันธ์ กลับวิเศษ ๕.อาขาว ไชโย มีลูกสพ.ญ พิมพักตร์ กลับวิเศษ (ไชยกำเนิด) แต่งงานแล้ว ๖.อานวน เสรี มีลูก ๒ คน วิศว์ กับวิศุวัส กลับวิเศษ ๗.อาเหมีย(อุบล) มีสามีชื่อทองม้วน ศรีสม บ้านอยู่สุรินทร์ มีลูก ๔ คน ชื่อ อ้อ โอ แอน เอื้อม(อ้อย)

ตอนนี้สายของลูกทวดหมิก เหลือแค่ ย่าเงื่อม กับย่าเอื้อพรรณ เรืองศรี ย่าเอื้อพรรณ เพิ่งเสียลูกชาย อาติ่ง พลตรีตะวัน เรืองศรี อาติ่งมีลูก ๑ คน น้องกั๊ก พิศลย์ เรืองศรี...ย่าเอื้อพรรณ ตอนนี้ไปอยู่เมืองกาญกับปู่จำรัส

๒.ร.ต.น.พ.สมคิด ไกรสินธุ์ (2467-2530) (ภาพ)

๓.พลเรือโทอรุณ(ตาย) ไกรสินธุ์(ภาพครอบครัวข้างล่าง)

๔.น้องเอื้อพรรณ (อำพันธุ์)เรืองศรี

๕.น้องนิพนธ์(เขียว)(ตาย)



๒. ร.ต..น.พ.สมคิด ภรรยาชื่อเฉลิมขวัญ บุตรสาว ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ (ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก จึงขอนำรายละเอียดมาลงไว้ข้างล่างนี้) บุตรชาย สาวิตร ไกรสินธุ์ แต่งงานมีบุตรชาย ๒คนคือ ไกรวิชย์ และไกรวุฒิ บุตรหญิง ๑คน ชื่อพลอยพิมพ์ ไกรสินธุ์ (Ploypim Kraisintu)

เภสัชกรหญิง ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495[1] เป็นเภสัชกรชาวไทยที่อุทิศตนช่วยเหลือผู้ป่วยในการผลิตยาในทวีปแอฟริกาและเอเชีย กฤษณาเป็นชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี บิดาและมารดาเป็นบุคคลากรทางสาธารณสุขทั้งคู่ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เธอประกอบวิชาชีพทางสาธารณสุขเช่นกัน กฤษณาจบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ณ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจากนั้นได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาเภสัชวิเคราะห์ มหาวิทยาลัยสตราห์ไคลด์ และปริญญาเอก สาขาเภสัชเคมี มหาวิทยาลัยบาธ สหราชอาณาจักร หลังจากจบการศึกษาแล้ว กฤษณาได้กลับมาดำรงตำแหน่งอาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาเภสัชเคมี ในปี พ.ศ. 2524 ต่อมาได้ทำงานในองค์การเภสัชกรรมและเป็นผู้ริเริ่มการวิจัยยาต้านเอดส์จนสามารถผลิตยาสามัญชื่อ "ยาเอดส์" ได้เป็นครั้งแรกในประเทศกำลังพัฒนา[2] เธอดำรงตำแหน่งสุดท้ายในองค์การเภสัชกรรมคือผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาองค์การเภสัชกรรม ภายหลังลาออกจากองค์การเภสัชกรรม กฤษณาได้เริ่มต้นการทำงานในประเทศคองโกเป็นประเทศแรก และประสบความสำเร็จในการผลิตยาต้านเชื้อไวรัสเอดส์ชื่อ "Afrivir" โดยมีส่วนผสมเหมือนยาที่ผลิตในประเทศไทย หลังจากนั้นก็ได้ช่วยเหลือประเทศอื่นๆในทวีปแอฟริกากว่าอีก 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศเอริเทรีย แทนซาเนีย เบนิน และไลบีเรีย ผลงานของกฤษณาเป็นที่สนใจในวงกว้างขึ้น เมื่อมีการนำไปตีพิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของบทความภาษาเยอรมัน และมีการสร้างภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติของเธอ เรื่อง อะไรต์ทีลีฟ - เอดส์เมดิเคชันออฟมิลเลียนส์ (อังกฤษ: A Right to Live - Aids Medication for Millions) ในปี พ.ศ. 2549 รวมถึงการสร้างภาพยนตร์บรอดเวย์ชื่อ คอกเทลล์ (อังกฤษ: Cocktail) ในปี พ.ศ. 2550 นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์โลก (อังกฤษ: Global Scientist Award) จากมูลนิธิเลตเต็น ประเทศนอร์เวย์ ประจำปี พ.ศ. 2547[3] รางวัลบุคคลแห่งปีของเอเชียประจำปี พ.ศ. 2551[4] และรางวัลแมกไซไซสาขาบริการสาธารณะประจำปี พ.ศ. 2552[5]

๓. พล.รท.อรุณ(ตาย)+นางจงดี ไกรสินธุ์ มีบุตรชายคนเดียวชื่อรุ่ง (ภรรยาชื่อกรรณิการ์) บุตรสาวของรุ่งชื่อ พิณทิภา (ภาพครอบครัว)

๔.น้องเอื้อพรรณ์ (ไกรสินธุ์) เรืองศรี

บันทึกโดย กรรชลีย์ (เรืองศรี) ยั่งยืน)...รายละเอียดดังนี้
คุณแม่เอื้อพรรณ์แต่งงานกับคุณพ่อพันโทจำรัส เรืองศรี มีบุตร ๓ คน

๑. พลตรีตะวัน เรืองศรี(ตาย) สมรสกับพันโทหญิงปริยานุช มีบุตรชาย ๑ คนชื่อ นายพิศลย์ เรืองศรี
๒. นางกรรชลีย์ (เรืองศรี) ยั่งยืน สมรสกับนายวิเชียร ยั่งยืน อาชีพรับราชการครู สอนที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี มีบุตร ๒ คน คือ วิชชุลดา(ส้ม) และนลพรรณ (ตาล)(น้องเอื้อพรรณ์-คนกลาง)
๓. นางสาวศิวาพร เรืองศรี อาชีพมัคคุเทศก์ ภาษาอิตาเลี่ยน


๕. น้องนิพนธุ์ (เขียว) ไกรสินธุ์ (ตาย) มีลูกชายชื่อนิวัฒน์ ไกรสินธุ์ กำลังเรียนมหาวิทยาลัยที่เชียงใหม่



(ปู่ผั้ง+ย่าพู) ลูกลำดับที่๒.คือ อาคลาย(หญิง)อยู่คลองขุด

อาคลาย มีสามีชื่ออาน้อม จันทร์แจ่มใส มีลูก ๓คนคือ นางเนิ่น นายเถกิง และ นางมณี จันทร์แจ่มใส


(ปู่ผั้ง+ย่าพู) ลูกลำดับที่๓.คือาหนวง(ชาย) เคยมีภรรยาชื่ออาบ (หย่า ) ต่อมาพี่อาบแต่งงานกับหมอเชื่อมอยู่ ต.เสวียด


(ปู่ผั้ง+ย่าพู) ลูกลำดับที่๔.คืออาหงวน(หญิง) อยู่คลองขุด

อาหงวน(สงวน) มีสามีชื่ออาเชย ทองนุ้ยพราหมณ์ มีลูก ๔คน คือ นายชิด(ตาย) นางเสงียบ(ตาย) นายช่วย(ตาย)และ นางสงบ

๑. นายชิด ภรรยาชื่อนางเย็นใจ ทองนุ้ยพราหมณ์ มีลูก ๓คน คือ นายบัญญัติ นางสุดรัก และนางแจ๊ด

๒. นางเสงียบ สามีชื่อ ธรรมนูญ ศักดิ์แก้ว มีลูก ๓ คนคือ ศิริศักดิ์ เสาวภา และคมสัน

๓. นายช่วย ภรรยาชื่อนางโชคดี มีลูก ๑ คนชื่อ โชคชัย ทองนุ้ยพราหมณ์

๔. นางสงบ สามีชื่อภาณุ ทองมีเพชร มีลูก ๑คนชื่อ น.ส. นัญชยณัฐ ทองมีเพชร


********************************************************************

ขุนไกร+ยายเหนียง)ลูกลำดับที่ ๓ ปู่นิล ไกรสินธุ์ ปู่นิล+ย่าปุก.....อยู่บ้านชายท่า

ย่าปุกเป็นลูกพี่ของแม่มี (ทิมเกต) ไกรสินธุ์ อาจารย์เหล็กเป็นน้องของย่าปุก มีลูก ๕คนคือ.... (ที่จริงผมควรเรียก"อา" แต่แม่มีให้เรียก"พี่" ตามศักดิ์ของย่าปุก)

๑.พี่ฟอง มะลวน ญ.(ตาย)

๒.พี่รุ่น หรือหรุ่น อยู่เกาะพงัน ช.(ตาย) เป็นครู ตามรายละเอียดที่ไปรยา ไกรสินธุ์ ผู้เป็นเหลนได้ส่งไปให้ผู้รวบรวมมีใจความว่า...ทวดหรุ่น แต่งงานกับทวดอบ ไกรสินธุ์ มีลูกคนเดียวชื่อปู่สุรินทร์ ไกรสินธุ์ ปู่สุรินทร์ได้แต่งงานกับย่าฉะอ้อน ไกรสินธุ์ มีลูก ๒คน คือ พ่อสกนธ์ ไกรสินธุ์ และ อากรรณิกา ไกรสินธุ์...พ่อสกนธ์ แต่งงานกับแม่เสาวภาค มีลูกสาว๒คน คือ ไปรยา ไกรสินธุ์ และ เสาวคนธ์ ไกรสินธุ์ พ่อสกนธ์ ยังมีลูกสาวอีกคนหนึ่งชื่อสุภชา ไกรสินธุ์ ...ส่วนอากรรณิการ์ แต่งงานกับอาวิรัช เข่งสมุทร คนสมุทรปราการ มีลูก ๒ คนคือ วรากรและกฤติกา เข่งสมุทร

เสาวคนธ์(ใบเตย) ได้เพิ่มเติมรายละเอียดอีกว่า ไปรยา(ตูน) ทำงานเป็นรองผู้จัดการประกันภัยธนชาตที่ภูเก็ต สุภชา กำลังเรียนที่โรงเรียนที่หลานกรรณิการ์เป็นอาจารย์อยู่ที่กรุงเทพฯ สามีของกรรณิการ์ เป็นครู คศ๓ รร. บ้านคลองหลวงสมุทรปราการ กฤติกา เป็นสัตวแพทย์ที่รพ.สัตว์เกษตร ส่วนวรากร ทำงานที่สุวรรณภูมิ

๓.พี่รื่น ในบาง ช.(ตาย) รื่น+แดง...บ้านเดิมดอนตะโก ต.คลองน้อย อ.เมือง

รื่น+แดง ลูกคนที่๑ อุบล ไกรสินธุ์ มีลูก ๓คน

๑.อุบลอายุ ๗๕ ปี บ้านอยู่หลังรร.เทศบาล ๔ มีลูก ๓ คน

๑. สุวคนธ์ แต่งงานแล้วมีลูกสาว ๑คน ทำงานที่สสจ. สุราษฎร์ธานี ๒. วรพจน์ ไกรสินธุ์ แต่งงานกับวันวิสา ไกรสินธุ์ (เดิม รัตนา) มีลูกชายชื่อชรัณ (ลีโอ) ไกรสินธุ์ ๓. ทศพร ไกรสินธุ์ (ช) (บอย) เป็นคู่แฝดกับวรพจน์ บวชอยู่วัดพัฒนาการ(วัดใหม่) บ้านดอนได้ ๙ เดือนกว่า ตอนนี้สึกแล้ว เปิดร้านขายของที่ตลาดบ้านดอน


รื่น +แดง ลูกคนที่๒ ชื่อสุวรรณ เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธาวาส ชื่อพระครูพิพัฒน์โพธิกิจ


พี่รื่นเลิกกับพี่แดงแล้วบวชเป็นพระได้มหาเปรียญ แล้วธุดงค์ไปร่างกุ้ง ประเทศพม่าและได้ป่วยมรณภาพที่นั่น (หลวงบอยบอกว่า นี่เป็นคำบอกเล่าของท่านเจาคุณโกศล วัดไตรธรรมาราม อดีตเจ้าคณะจังหวัด)...ต่อมาพี่แดง ภรรยาของพี่รื่น ได้สามีใหม่ชื่อแดงเหมือนกัน และมีลูกอีก ๓คน


๔.พี่บุญ บ้านชายท่า แม่ของกุล ภรรยาหลวงอยู่ ทิมเกตุ

๕.พี่พริ้ม (หญิง) บ้านชายท่า(ยังอยู่)

*******************************************************************


(ขุนไกร+ยายเหนียง)ลูกลำดับที่ ๔ ย่าเพียร (ไกรสินธุ์) กล่อมนรา

ย่าเพียร+ปู่ครอง อยู่บ้านกลาง มีลูก ๓คน

๑.อาขอม (กล่อมนรา) +ลุงเนิมมีลูก ๔คนคือ จำเนียร หนูเล็ก จำนง เจ้าเนตร

๒.อาขำ (กล่อมนรา )+อาคุด มีลูก ๔คนคือ เจริญ บุญรอง รวบ แข็ง
หลานบุญรอง(กล่อมนรา) +หลานทุ่ม มีลูก ๗คน ชื่อ บุญลือ(อุไร) หนูลี่ ทุย พูลศักดิ์(ไข่) เหมีย แมว สุวภา

๓.อาเจ้าเขียม กล่อมนรา (ในภาพ อาเจ้าเขียมถ่ายกับพี่เมียด)+อาสาย มีลูก๓คน คือ สิทธิ ตุ๊กตา ยุพิน


**********************************************************************


(ขุนไกร+ยายเหนียง)ลูกลำดับที่๕ ย่าพิน (ไกรสินธุ์) ย่าพิน+ปู่.... อยู่บางน้ำจืด(อยากรู้จักชื่อสามีของย่าพิน) มีลูก ๓คน ......(ต้องการรายละเอียดของทุกคน)

๑.นายห้อย บางน้ำจืด

๒.นายโห้ย บางน้ำจืด

๓.อาขิน บ้านท่า ท่าฉาง

***************************************************************

(ขุนไกร+ยายเหนียง)ลูกลำดับที่ ๖ ปู่ปาน ไกรสินธุ์ (ปู่ปาน+ย่าทับ) อยู่บ้านกลางมีลูก ๖คน ชาย ๔คน หญิง ๒คนดังนี้

๑.อาขำ (ชาย) ๒.อาขึม (ชาย) ๓.อานึก(หญิง) ๔.อาทิม (หญิง) ๕.อาครัน (ชาย) ๖.อาทอง (ชาย)

(ปาน+ทับ)ลูกลำดับที่๑.อาขำ+นางแต้ม ไกรสินธุ์ มีลูกหญิงชาย ๕คนดังนี้


๑.นางเขื้อม

๒.นายขืน+นางเลื่อน ไกรสินธุ์ มีลูก ๑ คนอยู่กทม.(นายขืนหรือเสือขืน ถูกยิงตายที่น้ำดำ อ.ท่าชนะ)

๓.นางบุญธรรม+นายลำดวน มีลูก ๒คน คือนายสมนึกและนางแดง

๔.นางสัมฤทธิ์+สำราญ ขำแก้ว มีลูก ๕ คนคือ ๑.นายโทน ๒.นางแอด ๓.นางอ้อ ๔.ส.ต.อ.สาโรจน์ ขำแก้ว(เอ) ๕.นางติก

๕.นายไพศาล(เจ้าเถง)+สุวรีย์ ไกรสินธุ์ ไม่มีบุตร บ้านอยู่สี่แยก


(ปาน+ทับ)ลูกลำดับที่๒.อาขึม +อาเงิน (ภาพล่าง) ไกรสินธุ์ มีบุตรธิดา ๕คนดังนี้


๑.นายสมคิด+นางยุพา (หม่น)ไกรสินธุ์ มีบุตรธิดา ๘ คน คือ

๑. นางเรณู+นายสำเรือง ชื่นวิเศษ ๒.นายสมชาย+เสงี่ยม ไกรสินธุ์ มีลูก ๒คนคือ นางสุนทรีย์(พยาบาล)และน.ส.สายใจ ๓.นางเลขา(สุเพ็ญ)+สุทิน บุญโญ มีลูก ๒คน ๔.นายสมเดช(หมู)+พรสิริ(แพลด) มีลูก ๒คนคือนางอัมภิรา(ก้อย)และน.ส.วนิดา(หมาทีส) ๕.นางสุขุม(ปุด)มีลูก ๒คนคือสุดารัตน์และนายอภิวัฒน์ ๖.นางสงบ+นายสมพงค์ เกิดสมบัติ มีลูก๒คน คือนายสิทธิศักดิ์(บอย) และนายวัชระพงศ์ ๗.นางพรรษา ไกรสินธุ์ ไม่มีบุตร ๘.นางสมัย (แอด)ไกรสินธุ์ มีลูก ๑คนชื่อนายกิติศักดิ์ เครือพัฒน์


๒.นายเกียรติศักดิ์(เจ้าคอง)(ที่ ๓จากซ้าย)+นางสุดจิตต์(ที่๒จากซ้าย) อดีตเป็นผู้อำนวยการอยู่ที่ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มีบุตรธิดา ๖ คนคือ

๑.นายภคพล(แมว)+นางโสรยา ไกรสินธุ์ ทำงานบริษัทที่กทม. ไม่มีบุตร

๒.นายศักดิ์ชัย(ไก่)(เครื่องบินตกตาย)+นางโสภา ไกรสินธุ์ อยู่กทม.มีลูก ๓ คน คือ น.ส.อภิรตี (บิว)น.ส.บัณทิตา และนายพัฒน์ธนะ ไกรสินธุ์

๓.สว.สิริวัฒน์(ที่๑ จากซ้าย)+นางทัศนี ไกรสินธุ์(ที่๕ จากซ้าย)สมาชิกวุฒิสภา(สว.)นครศรีธรรมราช ๒สมัย ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๑ อยู่หมู่บ้านเบญจรงค์ เขตมีนบุรี กทม. มีบุตร ๑ คนคือ ด.ช.กสิทัศน์ ไกรสินธุ์(ที่๔ จากซ้าย)

๔.นางสุกัญญา ไกรสินธุ์(อ.จุฬา)+พ.ต.ท.สิริชัยสิต ทรัพย์ประเสริฐ รองผกก.นครนายก มีลูก ๒คนคือ ดญ.พิมพ์ยัน และดช.มัชฌ์

๕.คต.เจนวิทย์+นางรพีพร ไกรสินธุ์ ตชด.๔๒๗ทุ่งสง มีลูกชาย ๑ คนชื่อ กรวิชญ์ ไกรสินธุ์ (King จวนม๋อง)

๖.นายกฤษฎา+นางน้ำฝน ไกรสินธุ์ ทำงานบริษัท กทม. ยังไม่มีบุตร


อาขึม+อาเงิน ลุกลำดับที่ ๓. น้องเหิง

นางเหิง+นายเอือบ เขียวนาวะ มีลูก ๖ คน

๑นางภณิดา-นายประเสริฐ อินเสวียด(เหมีย-เสริฐ) มีลูก ๒คน ๑.น.ส.อนงนุช-นายสรศักดิ์(เดือน-เดี่ยว)...
๒.นายอรุณ-นางวิมล เขียวนาวะ(บ่าว-มล)มีลูก๒คน ชื่อนายอนุวัฒน์-นายนันทวิช(ต้น-ต้ำ)...
๓. นายเอนก-นางนาตยา เขียวนาวะ(หลวงเย-กุ้ง) มีลูก ๒คนชื่อ ดช.ธินาคม-ดช.ภูวิช(ก้อง-กัณฑ์)...
๔.นายธวัธชัย-นางจิดาภา เขียวนาวะ(ไขหีด-สาว) มีลูก ๑คน นส.จุฑามาศ(เมย์)...
๕.นางรุ่งนภา-นายพิชัย สุทธิพิบูลย์(แอล-ชิด) มีลูก ๓ คนคือ นายธีรศักดิ์-ดช.เจนณรงศ์-ดญ.ณัชชา(โจ้-เจ-แอม)...
๖. นางสิริมา-นายชัยวัฒน์ ฉิมพิมล(อ้อด-กุ้ง) มีลูก ๓ คน ชื่อ ดช.นพสินธุ์-ดช.พิภพภัทร-ดญ.จารุภิชญา(อั่น-อ่อง-อินทร์)


คนที่ 1 Tel 077 461432 คนที่ 2 Tel 084 3082986 คนที่ 3 Tel 087 8824942 คนที่ 4 Tel 077 600681 คนที่ 5 Tel 086 5934122, 083 5235507 EMail kjst-15@hotmail.com คนที่ 6 Tel 080 3899220


อาขึม+อาเงิน ลูกลำดับที่๔ น้องนิคม
.นายนิคม+นางนพรัตน์ ไกรสินธุ์ มีลูก ๓ คน คือ ๑. นางถนอมจิตร์(จิ๋ม)+นายอุทิศ อินทร์จันทร์ มีลูก ๒ คน ๒.นางวิลาศ(เล็ก)+นายตาล ไสยสุวรรณ มีลูก ๓ คน ๓.นายอำนาจ+สาธิณี ไกรสินธุ์ มีลูก ๑ คน


อาขึม+อาเงิน ลูกลำดับที่ ๕ น้องเซียบ

นางสมศรี(เซียบ) ไกรสินธุ์+นายไสว เผือกเนียม มีลูก ๕ คนคือ ๑. นายสายัณห์ เผือกเนียม (ทนายความบ้านดอน) ๒.นายสัญญา เผือกเนียม(ผู้คุมไชยา) ๓.นางรุ่งนภา แต่งงานอยู่ที่ อ.พนม ๔.นายโต้ง เผือกเนียม นักศึกษา ม.รามคำแหง ๕.นายเต้ง เผือกเนียม นักศึกษา ม.รามคำแหง

-------------------------------------------------------------

ปาน+ทับลูกลำดับที่๓.อานึก(ไกรสินธุ์)+อาเจ้าบ่าย นาคมิตร มีลูก ๕คน

ชื่อสมบูรณ์,สมบุญ (ช)อุบล,ประทุม,นันทวัน(ญ)


๑.สมบูรณ์ นาคมิตร +หมึก คงกาพมีลูก๔คน คือ นางลัดดา นายธนศักดิ์ นายเสรี และนส.จิรพันธ์

๒.สมบุญ นาคมิตร+พวงเพ็ญ โสมวิภาต มีบุตรชาย ๒คน คติกานต์และธิพงศ์

๓.นางอุบล (นาคมิตร)+ณรงค์ ลอยใหม่) มีลูก ๕คนคือ นางนงเยาว์ นายโอรส นายเกรียงไกร นายวันชัย นายภูวนัย

๔.นางประทุม(นาคมิตร)+เจริญ โสมเกลี้ยง มีลูกคนเดียวคือนายจักริช

๕.นางนันทวัน (นาคมิตร)+ชัยรัตน์ เขียวงามดี มีลูก ๒คนคือ นส.อรอนงค์ และนายชัชชัย

-----------------------------------------------------

ปาน+ทับลูกลำดับที่๔ อาทิม

ผู้บันทึกพอจะจำได้ว่าเป็นภรรยาพี่โสม ลูกป้าเผริญ บ้านนกร้อง สามีคนที่ ๒ชื่อเขียน อมรแก้ว อยู่มะลวน

-------------------------------------------------------

ปาน+ทับลูกลำดับที่๕.อาครัน (ชาย)

ผู้บันทึกจำได้ว่าคนทั่วไปเรียกอาครันว่า"เหย็ก" มีนิสัยนักเลง

------------------------------------------------------


ปาน+ทับลูกลำดับที่๖.อาทอง ไกรสินธุ์ (ภาพล่าง)+อาเนื่อม

มีลูก ๘ คน ดังนี้

๑.สุทิน(ช)(ตาย) จำได้ว่าอาทองรักลูกคนนี้มาก เรียนเก่ง อาชีพครู

๒.ประเทือง(ญ)

๓.เสรี(ช)

๔.บำรุง(ช) มีลูกสาว ๑ คน ยังไม่มีรายละเอียด

๕.บุญเรียง(นันทวัน ญ.) มีลูกชาย ๑คนชื่อ พรชัย(เบิร์ด) ไกรสินธุ์

๖.ประสงค์ ชูศรี(ญ)

๗.สุภา(ญ)

๘. .....


อาทองเป็นลูกของโปปาน และย่าทับคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่

*************************************************************************


ผู้บันทึกและรวบรวม....สนิท ไกรสินธุ์


หากญาติพี่น้องต้องการให้เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลง แก้ไข ข้อความใดๆ โปรดส่งอีเมลไปที่ chaiyatachang@yahoo.com


************************************************************************ 


บันทึกเพิ่มเติม...ของผู้รวบรวม

บันทึก ๑

รุ่ง หรือ ขุนศรเกษตรศึกษากร(รุ่ง ศรเกษตริน)

โกเมน ศรเกษตริน ลูกชายคนที่๘ ของปู่รุ่ง ตอนนั้นอายุ ๘๔ปี เป็นคนบอกเล่า ตอนนี้โกมนตายแล้ว

ปู่รุ่งมีลูกทั้งหมด ๑๐คน ยังเหลือแต่โกเมนอยู่คนเดียว (ตายเมื่อปี ๒๕๕๒)โกเมนเล่าให้ผู้บันทึกฟังว่า ปู่รุ่งเป็นลูกของนายนวล นางท่วน เกิดในปี ๒๔๒๐ (ตอนนั้นนามสกุลยังไม่มีใช้) นามสกุลเริ่มตั้งใช้กันตอนต้น ร.๖ หรือประมาณปี ๒๔๕๖ ซึ่งในปีนั้นปู่รุ่งก็อายุ ๓๖ปีแล้ว...ปู่รุ่งได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "ศรเกษตริน" ต่อมาได้เป็นศึกษาธิการจังหวัดได้บรรดาศักดิ์เป็น "ขุนศรเกตรศึกษากร" พ่อยุทธเรียกปู่รุ่งว่า "ลุงหลวงรุ่ง" ผู้รวบรวมจึงเข้าใจว่า นายนวล หรือนางท่วนคนใคนหนึ่งจะต้องเป็นพี่ของขุนไกร หรือพี่ของยายเหนียง ลุงโกเมนเล่าว่าปู่รุ่งเกิดในต.เสวียดแน่ แต่เป็นกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กๆ เป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ตาย จึงไม่มีพี่หรือน้อง พวกญาติฝ่ายไกรสินธุ์(ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่มีนามสกุล)คงจะเอา ด.ช.รุ่งมาเลี้ยง ถึงตรงนี้ท่านล้วน รอดทอง ได้เล่าผู้รวบรวมว่า ขุนศรเองบอกท่านล้วนว่า"พี่แดงติก(ทวดของท่านล้วน)เอาด.ช.รุ่งไปเลี้ยง ร้องไม่หยุดจนถึงรุ่งสาง พี่แดงติกจึงตั้งชื่อให้ว่า..รุ่ง.....


ลุงโกเมนเล่าต่อว่า " จนในที่สุดได้บวชเณรบวชพระไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพทางเรือ" พ่อยุทธเล่าว่า ก่อนไปย่าคุ้ม แม่ของพ่อยุทธได้ให้เงินแก่ปู่รุ่ง ๑๐ บาท ปู่รุ่งเองก็มีที่นาตกทอดมาแปลงหนึ่งที่นาหลุงช้าง ตอนนั้น อาทอง ไกรสินธุ์ ลูกสุดท้องปู่ปานทำอยู่ พ่อยุทธเล่าว่า อาจเป็นเพราะเงิน ๑๐บาทที่ย่าคุ้มให้ ปู่รุ่งจึงบอกให้นาแปลงนั้นแก่พ่อยุทธ แต่ให้โอนกันตอนอาทองตาย


(บันทึกของกุณฑล ไกรสินธุ์ ตามคำบอกเล่าของพ่อยุทธ และแม่มี) แม่มีว่า "ลุงหลวงพ่อแม่ตายตั้งแต่เล็ก ได้อาศัยที่บ้านพ่อใจแม่คุ้มจนครบบวช" พ่อยุทธว่า "พ่อของลุงหลวงชื่อนวล แม่ชื่อท่วน บ้านอยู่ดอนบ้านเก่า (ใกล้กันกับบ้านนกร้อง) นับตามศักดิ์แล้วลุงหลวงเป็นหลานของย่าเหนียง" (ผู้บันทึกมีความเห็นว่า ไม่นายนวล หรือนางท่วน ต้องเป็นพี่ของยายเหนียง) ลุงหลวงรุ่งจึงมีศักดิ์เป็นพี่ของพ่อใจ แต่อายุน้อยกว่าพ่อใจ" (ผู้รวบรวมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า บ้านพ่อแม่ของโปรุ่งที่พ่อยุทธแม่มีว่าอยู่ดอนบ้านเก่านั้น น่าจะถูกต้องเพราะที่นาหลุงช้างของปู่รุ่งอยู่ใกล้ต้นปาบใหญ่ เวลาเอาทองหรือพ่อยุทธไถนาใกล้ต้นปาบใหญ่จะพบเศษถ้วยชามแตกบ่อยๆ และ"ดอนบ้านเก่า" ที่คนเรียกก็อยู่ใกล้ๆกับต้นปาบใหญ่นั่นเอง พ่อยุทธเล่าต่อว่า "ตอนจำความได้ลุงหลวงรุ่งได้บวชเณรแล้วที่วัดตูใหญ่ ต่อมาก็กลายเป็นพระ แล้วก็ไปบางกอก สมัยนั้นยังไม่มีรถไฟ ลุงหลวงเล่าว่าไปเรือสำเภาหวาตี้ถึงบางกอกใช้เวลาเป็นเดือน ลมมาก็ออกเรือ ลมหยุดก็แวะพัก ไปอยู่บางกอกหลายปี ไม่รู้ว่าแกไปเรียนไหรมั่ง แต่ก่อนไปแม่ให้ปี้ ๑๐ บาท"

.."ลุงหลวงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า "ขุน" ราชทินนามของท่านคือ...ขุนศรเกษตรศึกษากร ตำแหน่งขุนนางของแกเป็นศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปู่รุ่ง+ย่าเอียด มีลูก ๑๐คน คือ มณีรัตน์ ลิมังกูร, จินดา(ศักดา), วิเชียร,นพรัตน์(ณรงค์),ผลึก,ไพฑูรย์,มรกต,เพทาย,โกเมน,มุกดา...บ้านโปรุ่ง อยู่หน้าวัดสามหม้าย ปัจจุบัน พี่ยมนา ลิมังกูร อยู่ส่วนหนึ่ง ลุงโกเมน ศรเกษตริน อยู่อีกส่วนหนึ่ง บ้านนี้เคยเป็ที่พักนอนของหลานเหลนของปู่รุ่งจากเสวียดและคีรีรัฐเมื่อมาทำธุระสำคัญๆที่บ้านดอน ปู่รุ่งได้ช่วยเหลือหลานเหลนมากมายและทุกเรื่อง ผู้รวบรวมบันทึกนี้ก็เคยมานอนกับปู่รุ่งที่บ้านนี้หลายหน   



บันทึก ๒

ไกรสินธุ์ในจังหวัดอื่นๆ

ยังมีตระกูลไกรสินธุ์ในจังหวัดอื่นๆอีกที่ไม่เกี่ยวพันทางสายเลือดกับขุนไกรฯ หรือเกี่ยวข้องแต่ยังไม่ทราบหลักฐาน เช่น

๑. "ไกรสินธุ์ที่กาฬสินธุ์"..ผู้รวบรวมแน่ใจว่าไม่เกี่ยวพันกับขุนไกรฯ เพราะต้นตระกูลนี้มาจาก นายเข้ม นางอิ่ม ไกรสินธุ์ แห่ง ต.เหล่าไฮงาม อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์

๒. "ไกรสิน"ที่นครพนม คุณกนกอร ไกรสิน ยืนยันว่าปู่ของเธอมาจากเวียงจันทร์ แต่พ่อของเธอมีญาติหลายคนที่สุราษฎร์ ผมจึงขอร้องให้คุณกนกอร ช่วยสอบถามและค้นหาว่าตระกูลของเธอได้เกี่ยวข้องับขุนไกรหรือไม่ แต่ยังมิได้คำตอบ

๓. ไกรสินธุ์ที่ อยุธยา กำเนิดที่อ.บางบาล เป็นตระกูลที่ใหญ่ตระกูลหนึ่ง คุณอำนาจ ไกรสินธุ์ มาจากที่นั่น เขากำลังสอบถาม ค้นหาอยู่ว่าจะเกี่ยวข้องกับขุนไกรหรือไม่ แต่ยังมิได้คำตอบ


บันทึก ๓

การนับลำดับญาติ


มีหลายๆ คนมักจะเข้าใจว่า "โหลน" เป็นคำใช้เรียกลำดับญาติซึ่งหมายถึงลูกของเหลน

แต่อันที่จริงแล้ว คำว่า "โหลน" ไม่มีที่ใช้และไม่มีความหมายอะไร แต่คำนี้ปรากฏในบทเพลงปลุกใจเพลงหนึ่ง เนื้อร้องมีว่า "...ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย" ข้อความดังกล่าวทำให้เข้าใจได้ว่า โหลน น่าจะเป็นลูกของเหลน

วันนี้จึงขอเสนอคำที่ใช้เรียกวงศาคณาญาติ เพื่อให้เข้าใจถึงลำดับญาติ ดังนี้


เชียด หรือเทียด..................... เป็นพ่อหรือแม่ของชวดหรือทวด

ชวด หรือทวด........................ เป็นพ่อหรือแม่ของปู่ย่าตายาย

ปู่กับย่า ................................เป็น พ่อกับแม่ของพ่อ

ตากับยาย ..............................เป็นพ่อกับแม่ของแม่

พ่อกับแม่ .............................เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูก

ลูก .....................................ผู้มีกำเนิดจากพ่อแม่

หลาน ..................................เป็นลูกของลูก

เหลน................................... เป็นลูกของหลานที่เป็นลูกของลูก

ลื่อ..................................... เป็นลูกของเหลน

ลืบ ....................................เป็นลูกของลื่อ

ลืด ...................................เป็นลูกของลืบ































































คนมีปมด้อย

                             คนมีปมด้อย


สนิท ไกรสินธุ์
 1.ลูกแตงปลายย่าน


เราเกิดมาเป็นลูกแตงปลายย่าน ตัวเล็กตัวเตี้ยเขาเรียกว่า "หนิด"เสียอีก ตอนเราจำความได้แม่ก็อายุ๔๕-๔๖ แล้ว ผมแม่เราขาวเหมือนค่างหงอก ได้ยินคนเขาพูดล้อเล่นทั้งแม่ทั้งเรากันทั่วไป พี่สาวคนเดียวของเราก็เริ่มมีคนมาขอ พี่ชายคนที่ติดกันกับเราแก่กว่าเราตั้ง ๕ปี เราเกิดมาผิดหยาม คือเขาไม่ได้ตั้งใจให้เราเกิด ชีวิตเราเริ่มต้นแบบนี้ จะมิให้เรามีความรู้สึกว่ามีปมด้อยอย่างไรไหว

บ้านสร้างใหม่ยังไม่ทันเสร็จ บ้านสูงมีบันไดทำด้วยไม้ตั้ง๙ ขั้น ตอนฝนตกใหญ่เราชอบเกาะประตูบ้านดูฝนบนเรือน จะเพราะฝนสาดบานประตูที่มือเกาะลื่น หรือเพราะเผลอไผลดูฝนดูคางคกไล่กินแมงเม่าเพลินไป จึงได้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากเรือน โชคยังดีที่เราไม่เอาหัวลงแทกดินก่อนจนคอหัก หรือเราถูกเสียบด้วยไม้ทู้ที่เขาปักไว้วางพรกข้างไหน้ำล้างตีนข้างบันได เราจำได้ว่าเรานั่งร้องสุดเสียงอยู่กลางฝนบนดินเปียก มีคนมาอุ้มเราล้างน้ำเอาโคลนออกเสียนิดหน่อย ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อกุงเกงเพราะเด็กอายุ ๓-๔ปี อย่างเรา แต่งชุดวันเกิด เขาอุ้มเราขึ้นไปบนเรือนแล้ว เขาก็เอาไต้ส่องดู เราร้องไม่ยอมหยุด คนเขาว่าหนังถลอกนิดหน่อย เลือดออกไม่มากเอาปูนทาแผลให้ก็พอแล้ว .....ไม่เป็นอะไร

ตั้งแต่วันนั้นมา เรายืนและเดินไม่ได้ ลงจากเรือนก็ต้องมีคนอุ้ม ที่บนเรือนหรือใต้ถุนบ้านเราจะไปไหนต้องถดไปด้วยก้น ดันไปด้วยมือ และโดยมากแล้วเราต้องอยู่บนเรือน ไม้พื้นยังมิได้ตอกตาปู เสียงเราถดไปถดมาดังโครมๆอยู่ตลอดทั้งวัน เราจำได้ว่า เราถดไปดูเรือบินฝูงใหญ่สีดำขลับที่บินเหนือต้นม่วงกล้วย ริมรั้วทิศเหนือของบ้าน ตอนหลังเขาว่าเรือบินฝูงนี้ได้ไปทิ้งระเบิดทำลายสะพานรถไฟที่ท่าข้าม...

ตอนเราอยู่บนเรือนทำเสียงโครมคราม บางทีเราได้ยินเสียงคนพูดมาจากใต้ถุนว่า "เสียงหนิดมันถด" ไม่มีใครสนใจถามต่อ เพราะใครๆก็รู้ว่าเราเดินไม่ได้ ก็เด็กอื่นๆอายุเท่ากันกับเรานี้ เขาวิ่งเขาเดินเล่นสนุกหรือขี่ควายกันแล้ว เรายังเดินด้วยก้นอยู่ จะมิเราให้มีปมด้อยอย่างไรไหว  
 2. ลูกแอ้กินนมแม่

เราถูกคนทำสัมยาคือเราลูกคนล้อทำให้เราอาย เมื่อเราขี้อายเราก็มีปมด้อย ............. กว่าเราจะยืนเดินวิ่งได้เหมือนเด็กอื่นๆก็อาจจะหลายเดือนหรือเป็นปี ในบ้านเราเราตัวเล็กสุด พี่ๆของเราเขาโตกันหมดแล้ว เขาพูดเขาคุยกันแต่เรื่องของเขา เขาไม่พูดกับเราเพราะเราเป็นเด็ก เขาได้แต่ออกคำสั่ง และห้าม ถ้าเราพูดบ้างเขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เราไม่มีความเห็นใดๆทั้งนั้น ได้แต่รับฟังแอบฟังเขาพูดตลอด เราเรียกความสนใจจากคนอื่นๆได้โดยการร้อง จริงบ้างเท็จบ้าง แต่ถ้ามีแผลได้ผลทุกที เช่นวันหนึ่งสะอื้นเด็กโตกว่าเราหลายปี หลอกให้เราแกว่งมีดโต้ในน้ำสูงแค่เข่าที่ท่าล่าง น้ำคลองเหวียดมันไหลเชี่ยว มีดโต้มันก็วิ่งกลับมาสับเข่าของเราเป็นแผลเหวอะหวะถึงกระดูก เลือดสาดเป็นทาง พี่ชายเราว่ายน้ำข้ามคลองไปขุดดินเหนียวแล้วเอามาอุดแผล แต่เลือดไหลไม่หยุด เราร้องวิ่งกลับบ้าน คนวิ่งมาดู เขาเอาปูนยีกับใบผักคราดในมือพอเป็นเปือกแล้วอุดแผลให้ กว่าแผลจะหายก็หลายอาทิตย์ สะอื้นตายนานแล้ว แต่แผลเป็นยาว ๒ นิ้วที่เข่าของเรายังอยู่ เราเห็นแผลทีไร เราคิดถึงสะอื้นเด็กกำพร้าหลานป้าชื่น

งานรดน้ำพระตอนสงกรานต์ที่วัดสีฆ้องมีคนมากเต็มลานวัด ที่จริงวัดนี้ก็คือลานหญ้าเฉยๆ มีต้นม่วงคันต้นตาล ไม่มีกุฏิไม่มีพระอยู่ วันนั้นบุญเมืองเด็กหญิงลูกผู้ใหญ่เตี้ยมอายุเท่ากันกับเรา เธอนั่งอยู่ในกลุ่มพ่อแม่ญาติของเขาไม่ไกลจากกลุ่มของเรามากนัก มีคนเอาดอกเข็มใส่ในมือเรา แล้วสั่งเราว่าช่วยเอาดอกไม้นี้ไปให้เด็กหญิงที่ใส่เสื้อสีแดงคนนั้นที เขาว่าแล้วก็ชี้ไปที่ ด.ญ.บุญเมืองคนนั้น คนอื่นๆเขานั่งกันทั้งนั้น เรายืนและเดินคนเดียว แถมมือเรายังถือดอกไม้แดงอีก คนทั้งหลายก็จ้องมาที่เรา คนเงียบกริบ เราไม่รู้เรื่อง เรายื่นดอกเข็มให้ด.ญ.บุญเมือง เธอก็รับไว้ในมือเธอ เสียงคนโห่คนตบมือดังขึ้น เราวิ่งกลับมาที่แม่ รู้สึกว่าหน้าเราแดงด้วยความอาย ตั้งแต่วันนั้นมา ใครๆก็ว่าเราได้หมั้นบุญเมืองแล้ว กว่าเราจะกล้าพูดกับบุญเมืองก็เมื่อเธอมีลูกถึง ๓ คน

ลูกแม่กินนมแม่ทุกคน แต่กินได้ไม่นานเพราะพอแม่มีลูกอ่อน ลูกคนใหม่ก็ครอบครองหัวนมแม่แทนลูกคนเก่า เราเป็นลูกแตงปลายย่านถูกคนรังแกถูกหยิกถูกเขกหัวบ่อยๆก็จริง แต่นมแม่เราได้กินนานกว่าใครๆ มีคนล้อเราว่าเป็นลูกแดงบ้าง เป็นลูกแอ้บ้าง แต่เราก็ไม่แคร์ อายุเราเกือบจะเข้าโรงเรียนแล้ว เราจำได้ว่าพี่สาวเอาข้าวร้อนๆคลุกไข่ปลาช่อนป้อนให้เรากิน กินข้าวไม่พอเรายังกินนมแม่อีกด้วย แม่ต้องหย่านม แม่เอาย่านเจ็ดหมูนหนาม(บอระเพ็ด)ทาหัวนม เรากินนมแล้วขมปี๋ เราต้องเอามีดโต้ไปตัดย่านหมูนเพลิงตามรั้วรอบบ้านจนหมดสิ้น คนทั้งหมู่บ้านรู้กันไปทั่ว ตอนนั้นคนว่าเราไม่ค่อยอาย แต่พอโตขึ้นมาหน่อย คนทำสัมยาว่าเราเป็นลูกแอ้กินนมแม่ เรารู้สึกอายมาก เกิดปมด้อยในใจทุกที  
 3. กลัวคน

ความกลัว ไม่ว่ากลัวอะไร ทำให้คนมีจุดอ่อนหรือมีปมด้อย ครูสมัยใหม่สอนให้เด็กกล้า แต่ครูสมัยเก่าสอนให้เด็กกลัว........ เด็กที่ชอบพูดถ่อมตัวเป็นเด็กขี้กลัว กลัวว่าจะพูดเกินเลยความจริงไป กลัวเขาว่าเป็นคนขี้โม้ พ่อแม่ส่วนมากและมักจะสอนให้ลูกรู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตน อย่าขี้โม้คุยโว จัดว่าเป็นเด็กดี ที่จริงแล้วทำให้ลูกเกิดปมด้อย ตีค่าตัวเองไปแต่ทางลบ

เด็กบางคนพูดความจริง สอบได้ที่ ๑ ก็ป่าวประกาศบอกคนไปทั่ว เด็กบางคนชอบพูดอวดตัวเอง ว่าดีว่าเก่งจนเกินเลยความจริงไปบ้าง เด็กพวกนี้เป็นเด็กมีความกล้า คนทั่วไปถือว่าพวกนี้เป็นพวกขี้โม้ หรือขี้หก เหมือนหมาที่ยกหางตัวเอง แต่ที่จริงแล้วเด็กพวกนี้มีปมเด่น ภูมิใจในตัวเองตลอดเวลา ตีค่าตัวเองไปแต่ทางบวก

เราเป็นพวกเด็กขี้กลัว อยากเป็นเด็กดีตามที่คนเขาคาดหวัง เราจึงมีนิสัยกลัวมันเสียทุกอย่าง กลัวพี่ๆ พ่อ แม่ ครู พระ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนแต่งเครื่องแบบ โดยเฉพาะตำรวจ ไม่กลัวแต่คน แม้แต่ผีเราก็กลัว ใครเขายอเราว่าดีว่าเก่งเราก็อาย แต่ถ้าเขาติเรายิ่งอายมากเข้าไปอีก

ครูชมเป็นครูใหญ่ ตัวผอมเตี้ยเล็ก แต่ชอบกินน้ำเมา ตอนเย็นวันหนึ่งแกมานั่งกินน้ำหวานเมาบนเรือนกับพ่อ เรื่องน้ำเมาตอนเราเป็นเด็กพ่อเราก็เอาเหมือนกัน พอเราเห็นครูชมขึ้นบันไดหน้า เราก็หนีลงบันไดครัว พอได้ยินแกถามพ่อว่า "สนิท ไปไหน" (พูดภาษากลางเสียด้วย) เราก็วิ่งโกยลงนาข้าวบิ้งหน้าบ้าน ต้นข้าวตั้งท้องสูงท่วมหัว เราซ่อนตัวในนาได้โดยไม่มีใครเห็น เราได้ยินคนเขาพูดกันบนเรือน ดีที่ไม่มีน้ำ งูเราก็ไม่กลัวแล้ว เรานั่งและนอนที่นั่นรอเวลาครูชมกลับ แม่เรียกเราก็ได้ยิน แต่เราไม่ขาน พอเราได้ยินเสียงครูชมเดินกลับบ้านตุปัดตุเป๋บ่นพึมพำบนหัวนา เราก็ขึ้นเรือน นาฬิกาตี ๙ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน

อยู่ ป.๔แล้วครูเคลื่อนต้อยเป็นครูประจำชั้น สั่งว่าบอกอามีด้วย วันเสาร์นี้ ๕โมงเย็น ช่วยจัดชั้นสำรับกับข้าวให้ชุดหนึ่ง สนิทเอามาส่งที่โรงเรียนให้ด้วย ต้องเลี้ยงพวกศึกษาจากอำเภอ กลับถึงบ้านเราบอกแม่ คืนวันศุกร์เรานอนสับส่ายทั้งคืน เพราะเราคิดว่ามีเรื่องใหญ่ที่เราต้องทำในวันรุ่งขึ้น แม่จัดชั้นเสร็จตั้งแต่ราว ๓โมงเย็น เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็หิ้วปิ่นโตลงเรือนไปอย่างช้าๆ เดินไปตามหัวนา ในใจคิดไปแต่เรื่องจะต้องไปเจอครูชมครูเคลื่อนและครูทุกคน อีกทั้งศึกษาและข้าราชการอื่นๆอีกที่เราไม่เคยเห็น ...เป็นภาพที่น่ากลัวยิ่งนัก ยิ่งใกล้วัดเข้ามาทุกทีความกลัวยิ่งเพิ่มมากขึ้น พอถึงหน้าบ้านน้องแขหลวงรายที่บ้ายชายวัด ขาทั้ง๒ของเราไม่ยอมเดินไปข้างหน้าอีกแล้ว มือที่หิ้วชั้นเปียกไปด้วยเหงื่อ แถมเหงื่อออกทั่วตัว ความกลัวคนขึ้นสุดขีด เราตัดสินใจเดินเลี้ยวขวาตามหัวนาไปทางบ้านชายท่า แล้วนั่งลงบนหัวนาตามองไปทางวัดทางโรงเรียน... หวันต่ำลงลับยอดไม้ พอเริ่มมุ้งมิ้ง เราก็วิ่งกลับบ้าน มืดพอเห็นทาง กลัวผีก็กลัว พอถึงก็ร้องไห้บอกแม่ตรงๆว่า ไปไม่ถึงวัด กลัวคน  
4. ทางแยกของชีวิต

คนมีปมด้อยมักจะขาดความทะเยอทะยาน ไม่มองการณ์ไกล และไม่มักใหญ่ไฝ่สูง.............
เราจบป.๔ แล้ว เป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนเรา จะเรียนป.๕ หรือ ม.๑ ในปี๒๔๙๖ ปีที่เราจบป.๔นั้น ยังไม่มีที่ให้เรียนในตำบลเรา ใครจะเรียนต่อที่ใกล้ที่สุดก็คือ โรงเรียนราษฎร์ที่ตัวอำเภอ ไกลไปมากต้องเดินถึงครึ่งวัน

พอเริ่มปิดเทอมปลาย ใจเราคิดว่าเวลาข้างหน้าในชีวิตนี้เป็นของเราทั้งหมด พ่อถามว่าจะเรียนต่อหรืออยู่บ้านแลควายปั้นลูกสูญ(ไว้ยิงกับนู) เราตอบโดยไม่ต้องคิดมากว่า "แลควายปั้นลูกสูญ" เพราะใจเราตอนนั้นคิดว่ามันสนุกจริงๆ

คนมีปมด้อยไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ เราคิดค่าตัวของเราเอง ก็เรารู้ว่าพ่อแม่เรายากจน รู้มานานแล้ว พี่ชาย ๒คนก็กำลังไปเรียนมออยู่แล้ว พ่อแม่บ่นเรื่องค่าเทอมเราได้ยินอยู่บ่อยๆ เราไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องลำบากกับเราอีก รู้จักเห็นใจพ่อแม่ ความรู้สึกนี้เราก็ได้รับมาจากพ่อแม่เราอีกนั่นเอง

เวลาล่วงเลยมาจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ปีการศึกษาใหม่ใกล้จะเริ่มแล้ว เรานึกถึงแต่ความสนุกต่างๆที่เราจะได้เล่นเพราะเราไม่ต้องไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่ก็มีเหตุให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนไป

เรื่องมีอยู่ว่า น้องเชิ้มลูกน้าเสื้องแกไปได้เมียอยู่ที่เกาะหมุย คืนหนึ่งแกได้มานอนคุยกับพ่อและแม่ เมียแกชื่ออนงค์นอนที่บ้านแม่ผัวไม่ได้มาด้วย เราใกล้หลับแล้ว เกิดได้ยินน้องเชิ้มถามพ่อถึงเรื่องการเรียนต่อของเรา พ่อก็บอกตรงว่า มันชอบแลควายและยิงนก น้องเชิ้มบอกว่า "ไม่ได้ลุงยุทธ ผมจะพาหนิดไปเรียนที่เกาะหมุย อยู่กินที่บ้านผม"

ก่อนแกจะกลับไปบ้านน้าเสื้องแม่ของแกในตอนเช้า เราได้ยินแกบอกพ่อว่า แกต้องไปถามน้องนงค์เมียของแกก่อน ตอนเย็นนี้จะมาให้คำตอบ

ก็เมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากเราได้ยินเรื่องเกาะหมุย เรานอนไม่หลับเลย จะหลับลงอย่างไร ทะเลหรือเกาะเป็นอย่างไรยังไม่เคยเห็น คิดไปต่างๆนาๆ งีบไปนิดก็ฝันเห็นเกาะเห็นทะเลและปลา ไม่เคยนึกถึงเรื่องเรียน มอ ๑ นึกแต่เรื่องอยากจะได้เล่นสนุกในที่ใหม่

วันใหม่ดูเจิดจ้า ครั้นน้องเชิ้มไปบ้านแม่ของแกแล้ว พ่อถามเราว่า เชิ้มชวนไปอยู่บ้านเขาเรียน มอ ที่เกาะเอาไหม เราตอบไม่ต้องคิด "เอา เอาแน่"....ตลอดวันเราคิดเราฝันทั้งวันเรื่องสนุกที่เกาะที่ทะเลขี่เรือหาหอยปูปลา แต่ความฝันของเราก็สลาย

ไม่ทันมืดของวันนั้นน้องเชิ้มกลับมา แกพูดกับพ่อกับแม่บนเรือน เราแอบฟังอยู่ใต้ถุน จับความได้ว่า น้องอนงค์เมียของแกไม่เห็นด้วย เหตุผลอย่างไรบ้างเราไม่ฟังไม่สนใจแล้ว ตาเราลาย น้ำตาเราไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว วิมานในฝันของเราพังลงไม่ทันข้ามวัน

ไฟไหม้ฟางมันดับยาก ความอยากในใจเรามันยิ่งกว่าไฟไหม้ฟาง...หลังจากน้องเชิ้มเดินออกจากรั้วบ้านผ่าท้องนาและความมืด เราเดินตรงไปหาพ่อ แล้วบอกพ่อว่า ผมอยากเรียน มอ ....๒-๓วันถัดมาแม่บอกเราว่าท่านเหล็กให้เราไปหาท่าน ท่านจะให้ค่าเทอมปีแรก ๓ เทอมๆละ ๖๐ บาท

เราได้เลือกทางเดินใหม่ในชีวิตของเราแล้ว แต่ยังมีอุปสรรคต่างๆมากมายที่ขวางอยู่ข้างหน้า คนมีปมด้อยอย่างเราไม่รู้จักคิด และไม่เคยคิด  
 5. สมบัติที่พ่อแม่ให้

ปมด้อยพ่อแม่ไม่ได้ให้ ถ้าให้ก็โดยไม่ตั้งใจ.....................

พ่อแม่รักลูก จึงอบรมสอนลูกให้เป็นคนดี แต่พ่อแม่ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่จำกัด ลูกๆจึงจับผิดพ่อแม่ได้เสมอ เพราะคนรุ่นลูกวัดความถูกผิดดีชั่วด้วยความรู้ความเข้าใจของคนรุ่นลูก ความแตกต่างระหว่างรุ่นของคนจะมีไปตลอดกาล

ตอนฝนตกหนัก เราชอบเล่นกลางฝน คางคกออกมากินแมงเม่าและยุง เราเอาแหลนแทงคางคกเสียบติดๆกันเป็นตับถึง ๑๕ ตัว เมื่อมันตายหมดแล้วเราก็โยนทิ้ง พ่อแม่เห็นไม่ว่าอะไร เรายืมปืนลูกซองของพี่หลวงไปป่า กลับบ้านเราหิ้วนกพี่ทิดพี่ทีตัวใหญ่มาด้วย พ่อแม่เห็น น่าจะถามเราว่ายิงมันทำไม เคยได้ยินว่ากินหมากเหนียดยาเส้นทำให้ฟันยืน เคยลองเหมือนกันแต่ยันหมากเลยต้องเลิก

ก่อนจากบ้านไปเรียน ม.๑ที่ไชยา พ่อสอนว่า "สมบัติทั้ง ๕ที่พ่อแม่ให้ คือ ขา๒ แขน ๒ หัว๑ รักษาไว้ให้ดี อย่าให้หายเสีย" คิดให้ดี เฉพาะหัว มันมีตา มีปาก มีหู มีจมูกและที่สำคัญคือมันสมอง พ่อแม่ใครให้สมบัติทั้ง ๕ ไม่ครบ หรือครบแต่คุณภาพไม่ค่อยดี ลูกที่รับมาจะปรับปรุงสมบัตินั้นให้มีค่าสูงขึ้นมันทำได้ยากมาก

นอกเหนือจากสมบัติทั้ง ๕แล้ว พ่อแม่ทุกคนยังให้ "ใจ" คือทัศนคติ ความเชื่อ ศาสนา รู้ความผิดชอบชั่วดี สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนเรานี้บางทีพ่อแม่สั่งสอนเรา บางที่เราเอาอย่างพ่อแม่โดยพ่อแม่ไม่ต้องสอน .... แม่เราเคยเอาคนบ้ามาเลี้ยงเป็นปี เราเรียกแกว่าพี่อาบ คราวหนึ่งต้องล่องน้ำนองสูงถึงเอวจากไร่มาบ้านพี่อาบบ้าให้เราขี่คอแก แม่ว่าอย่างนั้น แม่เคยเอาตาเจ้าครันคนจรจัดแต่เก่งศิลปะมาอยู่บ้านนานเหมือนกัน คนลาวชื่อสุวันแม่ก็เคยเอามาเลี้ยง หลานห่างๆของแม่ไปทำงานเรือขุดที่ห้วยมุด ถูกสาวแก่จับเอาเป็นผัว เมียจะดูบ้านผัว แต่ผัวไม่มีบ้านเพราะพ่อแม่ตายหมด หมดหนทางก็เอาเมียมาพักบ้านย่าหลายอาทิตย์... เราได้เรียนความเมตตากรุณาคนจากแม่... เรากลับบ้านที่ไรต้องมีของไปฝากญาติและคนที่มีพระคุณเป็นการสอนกตัญญูกตเวทิตา เราเรียนรู้ความซื่อตรง มุมานะ อดทน มัธยัสถ์ มักน้อย อย่าชิงสุกก่อนห่าม(อย่าเอาเมียตอนกำลังเรียน) ที่สำคัญที่สุดคือ พ่อและแม่ได้ทำตัวอย่างของการเป็นสามีภรรยาและเป็นพ่อแม่ให้ลูกๆเห็นและเอาอย่างได้ บ้านที่ครอบครัวมีความราบรื่นเป็นโรงเรียนที่สอนใจลูกๆอย่างช้าๆให้มีจิตที่มั่นคง และลูกๆจดจำเอาอย่างไปตลอดชีวิต

ส่วนลูกคนไหนมีปมด้อย อันเกิดจากความรู้สึกที่ลูกตีราคาค่าของตัวของเขาเอง ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ และไม่ควรถือว่าปมด้อยนั้นเป็นสมบัติที่พ่อแม่ให้  
6.ค่ำนี้จะนอนไหน

เกือบกลางเดือนพฤษภา ปี ๒๔๙๖ อีก๓วันข้างหน้า โรงเรียนพุทธที่ไชยาจะเปิดแล้ว เราและพ่อแต่งตัวแต่เช้าออกเดินทางไปไชยาหาที่พักให้เรา

เมื่อ ๕ปีก่อน พี่ชายคนที่ติดกับเราไปเรียนมอที่ไชยา พ่อแม่ก็ลำบากในการหาที่พักให้พี่ โชคดีที่หลวงครันไปบวชหนสองอยู่ที่วัดหลาทึง(ชยาราม) โกศลพ่อชื่อพรมบ้านชายท่าและพี่ชายเราก็ได้ไปอาศัยตาเจ้าครันอยู่ แต่อยู่ได้ไม่ครบเทอม เงินของตาเจ้าครันหาย หาตัวคนลักไม่ได้ แกเลยไล่ลูกศิษย์ทุกคนออกจากกุฏิของแก โกศลและพี่เราหอบหนังสือเสื้อผ้าและตะเกียงไข่เป็ดออกจากกุฏิไปนั่งร้องไห้อยู่ที่โคนต้นพร้าว(เขียนตามคำเล่าลือ) โชคดีอีกที่ท่านครูขำ(โสภณ)มาเห็นเข้าเลยรับเด็กทั้งสองคนไว้ที่กุฏิท่าน โกศลและพี่ชายเราก็อยู่กับท่านมาจนถึงปีนี้ แต่ก่อนที่พี่ชายจะกลับบ้านตอนปิดเทอมใหญ่ ท่านครูขำได้ประกาศแก่ลูกศิษย์ทุกคนว่า ปีการศึกษาหน้าแกจะไม่รับเด็กใหม่อีกเด็ดขาด กุฏิท่านเล็กเด็กเต็ม

วัดหลาทึงจึงไม่เป็นจุดหมายปลายทางของพ่อ.... เดินกันเหงื่อไหลมาเกือบ ๒ชั่งโมงแล้ว ถึงวัดธารน้ำไหล ด้านซ้ายสูงขึ้นไปก็เขานางเอ ที่ภูเขานี้พ่อกับแม่เคยมาขุดดินปนขี้ค้างคาวสีแดงในถ้ำใส่โตระหาบทูนเอาไปเป็นปุ๋ยใส่นาข้าว พ้นวัดธารน้ำไหลไปก็ถึงบ้านปากด่าน เลยจากปากด่านไม่นานก็ถึงวัดแก้ว หลายปีก่อนเรากับพ่อเคยมางานฝังพัทธที่วัดนี้ เราได้กินแกงส้มหนุนทองกับปลาช่อนแห้งที่อร่อยที่สุดในโลกเพราะวันนั้นเราหิวจัดมาก พ่อว่าแกพอจะรู้จักท่านสมภารตาบอดชื่อท่านพวงหรืออะไรนี่ พ่อจึงพาเราไปกราบท่านและบอกความประสงค์ นักเทศน์กัณฑ์ชูชกผู้เรืองนามตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "ปีนี้เด็กเต็ม" วิสาสะกันพอเป็นพิธีแล้วพ่อและเราก็กราบลา

วัดเววนเป็นจุดหมายต่อไปของพ่อ วัดนี้ไกลจากโรงเรียนมาก เป็นวัดสุดท้ายที่พ่อพอจะรู้จักท่านสมภารชื่อว่าท่านพร้อมร่างใหญ่ ก็เรากับพ่อเคยไปงานฝังลูกนิมิตรวัดนี้เมื่อ ๒ปีก่อน พ่อรู้จักท่านพร้อมจริงหรือถ้าพ่อได้ไปงานฝังพัทธวัดไหนแล้ว พ่อถือว่าพ่อได้รู้จักเจ้าอาวาสของวัดนั้นแล้ว เราไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

ออกจากวัดแก้วพ่อและเราเดินลัดทุ่งนากว้างใหญ่ข้างบ้านนาหลวง พ่อว่า"ไปดูเหียดมันหีด บ่ายๆค่อยไปวัดเววน" เหียดคือพี่ชายเรา คนที่ถูกตาเจ้าครันไล่ จนได้ไปอยู่กับท่านครูขำที่วัดหลาทึงนั้นแหละ พอไปถึงวัด พ่อให้เรารออยู่ข้างกุฏิ พ่อขึ้นกุฏิคนเดียวก้มกราบท่านครูขำและดึงเหนียวกวนมัดหนึ่งที่ห่อโลไว้ถวายท่าน "ผมทำเองครับข้าวเหนียวใหม่น้ำตาลโหนดผมก็ขึ้นเอง" พ่อและท่านครูสนทนากันแบบคนรู้จักกันมาก่อน ก็เหียดของพ่ออยู่มากับท่านตั้ง๕ปีแล้ว ท่านครูก็คงได้ฉันเหนียวกวนของพ่อหลายกิโลแล้วเหมือนกัน พูดกันไม่นานท่านครูก็รู้ว่าพ่อจะพาเราไปขออาศัยกับท่านพร้อมที่วัดเววน พ่อไม่กล้าขอร้องท่านครูขำเพราะพ่อรู้ข่าวจากเหียดมาก่อนว่าปีนี้ท่านครูขำไม่รับเด็กใหม่ ตอนหนึ่งท่านครูว่า "หนิดอยู่ไหน เรียกมันขึ้นมานี่" นาทีถัดไปเราก็ก้มกราบท่าน ๓ ทีแล้วนั่งพับเพียบตามองพื้นกลัวท่านครูแบบคนมีปมด้อย ท่านครูเงียบไปครู่หนึ่ง คงคิดอะไรสักอย่าง ในที่สุดท่านครูพูดว่า"พี่ยุทธ ปีนี้ยกเว้นให้คนหนึ่ง หนิดอยู่วัดนี้" พ่อยกมือไหว้ท่วมหัวแล้วกราบท่าน เราเองก็ทำตามพ่อ หัวใจเราพองโต เรามองเห็นภาพตัวเองใส่เสื้อขาวแขนสั้นปักหน้าอกปักด้วยไหมสีแดงเข้มว่า "พ.น."

พ่อเดินออกจากวัด เราใจหาย มีพี่ชายอุ่นใจแต่ก็ไม่เหมือนพ่อแม่ คืนนี้เรานอนวัดหลาทึง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้จากบ้านอกพ่ออกแม่ น้ำตาไหล กุฏิไม้ไผ่ห้องเล็กๆมีเด็กวัดนอนกัน ๕-๖คนตัวโตกว่าเราทั้งนั้น มุ้งกางติดๆกัน ตะเกียงไข่เป็ดคนละดวง อ่านหนังสือกันในมุ้ง ใครออกจากมุ้งไปยุงมันจะหามเอา นอกเสียจากพี่เราแล้ว เด็กอื่นๆมองเราอย่างศัตรู...ก็เป็นความจริงของเขา พรุ่งนี้เช้าเราเป็นอีกคนที่จะต้องแย่งของกินของพวกเขา
 7.โจรปล้น

เด็กวัดทุกคนมีปมด้อย มากบ้างน้อยบ้าง................

เรามาอาศัยวัดอยู่กันเพราะยากจนบวกกับความจำเป็น บ้านญาติที่พอจะเดินไปโรงเรียนได้ไม่มี ห้องเช่าก็ไม่มี เราจึงต้องมาขออยู่กับพระ ที่จริงพระก็พึ่งพาเราพอๆกัน...พวกเราทำความสะอาดเช็ดพื้นถากหญ้าถูส้วม โดยเฉพาะส้วมพระเณรไม่ทำหรอก ตอนเช้าพระเณรไปขอข้าว เด็กวัดเดินชั้นไปขอกับ ได้มาแล้วแบ่งเป็น ๒ส่วน ครึ่งหนึ่งกินเช้า อีกครึ่งกินเที่ยง พระเณรฉันก่อนที่เหลือส่งให้เด็กวัด วัดหลาทึงอดอยากกันทั้งพระเณรและเด็กวัด คงเพราะวัดเล็กบ้านคนมีน้อย ข้าวกับที่เหลือจากพระฉันก็น้อยลงไปอีกตามสัดส่วน บรรยากาศการกินอาหารเช้าของเด็กวัดหลาทึงก็ต้องให้นึกถึงว่ามีหมูอยู่ ๑๐ตัว เจ้าของหมูตักข้าวปนเศษอาหาร ๒ พรกใส่ลงไปในรางหมู คิดดูก็แล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนเที่ยงแล้วแต่ดวง ใครวิ่งจากโรงเรียนมาถึงโรงฉันก่อนก็อาจได้กินบ้าง ใครมาถึงช้าก็อดกิน ปะรำหลังคาจากที่โรงเรียนมีข้าวราดแกง ผัดหมี่และขนมขาย แต่เราไม่เคยเห็นเด็กวัดคนไหนไปซื้อกิน ...ก็อยู่กันอย่างหิวโหยแบบนี้แล้วจะให้เด็กวัดไม่มีปมด้อยอย่างไรไหว

อยู่วัดหลาทึงได้เทอมเดียว อาจารย์ชมเจ้าอาวาสวัดเวียงตาย หลวงเยและหลวงซ้วนมานิมนต์ท่านไปเป็นเจ้าอาวาส ลูกศิษย์อาจารย์ครูขำทุกคนก็ตามท่านไปด้วย วัดเวียงไกลจากโรงเรียนราว ๓กิโลหมดสิทธิ์กลับวัดกินเที่ยง แต่อาหารเช้าของวัดเวียงดีกว่าวัดหลาทึงมาก ตอนเย็นถ้าไม่อยากกินข้าวบูดเราก็หุงกินกันเองได้ อาหารหมูมีมากก็จริงแต่จำนวนหมูก็มากตามไปด้วย มาจากเหวียด ทือ โมถ่าย ปากหมาก ยายชี หนองหวาย เกาะงัน นาสาร บางงอน ท่าหนอน ลูกหลานอาจารย์ครูเองจากตำบลไกลในไชยาเองก็มาอยู่....เราไม่ถนัดเรื่องชิงกันกิน แย่งเขาไม่ทันก็อดกินร้องไห้บ่อยๆ อาจารย์ครูทราบเรื่องก็โดนเฆี่ยนด้วยหวาย ๗ที แกว่าจะได้โตเร็วทันเพื่อน จริงอย่างท่านว่า

ปีพ.ศ.๒๔๙๗ เราเรียนชั้น ม.๒ พี่ชายจบม.๖ แล้วไปเรียนครู พ.ที่คอหงส์สงขลา ทิ้งเราไว้อยู่เดียวดายกับเด็กวัดนักเลงทั้งหลาย ตอนพี่ชายเราอยู่ พวกนักเลงไม่กล้าเล่นงานเรา แต่พอพี่ชายไปแล้วพวกมันก็ออกฤทธิ์ โกศลอยู่ม.๖ ทำตัวเป็นนักเลงใหญ่ เคยดังมาตั้งแต่วัดตูใหญ่แล้ว เราเคยเห็นมันยิงขึ้นฟ้าด้วยปืนทำเองตอนงานพ่อมันทอดกฐิน ปีนี้มันโตกว่าเพื่อน ก็ออกนิสัยเดิม ชอบออกคำสั่งและลงโทษเด็กวัด ถ้าขัดใจหรือไม่ทำตามมัน มันก็เขกหัวเด็กที่ตัวเล็กกว่า เราก็โดน โดนกันทั้งนั้น ศัตรูของพวกเราใช่แต่เด็กวัดนักเลง ยังมีโจรหัวโล้นนุ่งห่มผ้าเหลืองชอบกินถั่วดำอีก ตอนที่วัดมีแม่ชีสาวแก่อยู่พวกโจรไม่กำเหริบนัก แต่พอแม่ชีสึก โจรก็หันมาเล่นงานเด็กวัด รวมทั้งสาวๆชาวบ้านข้างๆวัดด้วย ถ้าโจรคนไหนทนชาวบ้านบ่นไม่ไหว ก็สึกแต่งงานกันไปกับลูกสาวชาวบ้านก็มี แต่บางคนเก่งปิดๆบังๆนิสัยโจรอยู่ให้คนไหว้จนแก่เฒ่า....ชีวิตเด็กวัดเป็นแบบนี้จะมิให้มีปมด้อยอย่างไรไหว
8.ผู้แพ้

ครูมงคล นิลรัตน์เป็นครู ม.๑ แม้มีวุฒิแค่ม.๖ แต่เป็นครูที่ดีมาก ลูกศิษย์รักแกทุกคน แกก็รักเด็กรุ่นแรกของแกมากเหมือนกัน เพราะแกตามสอนเราไปทุกชั้นจนเราจบม.๖...พอเริ่ม ม.๑ได้อาทิตย์เดียวครูก็จัดสอบเทียบความรู้ คล้ายกับลองเชิงดูว่าเด็กที่จบป.๔มาจากโรงเรียนต่างๆนั้น ใครโง่ที่สุด คนมีปมด้อยชอบคิดแบบนี้ เราเด็กมาจากป่าสอบแข่งกับเด็กอยู่ใกล้ทางรถไฟ เราจะสู้เขาได้อย่างไร ผลออกมาเราชอบและไม่ชอบ ชอบเพราะได้ที่๒ ไม่ชอบเพราะคนได้ที่๑ เป็นลูกคนจีนบ้าบาจากหนองหวายทิ้งเราตั้ง ๑๐๐คะแนน แต่คนชอบคิดติดลบอย่างเรารู้สึกผิดหวังและเกิดปมด้อยในใจขึ้นมาทันที
ความสำเร็จในการเรียนหลายๆหนทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นการสลัดปมด้อยทิ้งไปได้มาก แม้ว่าตลอด ๖ปีเราแพ้เด็กคนนี้ตลอด แต่ก็ไม่เคยมีเด็กคนอื่นได้คะแนนดีกว่าเรา ปมด้อยในช่วงนี้เกิดจากสิ่งอื่นๆ บ้านเกิดอย่างหนึ่งและความยากจนอีกอย่างหนึ่ง เด็กที่บ้านอยู่ใกล้ทางรถไฟชอบล้อเราว่า "บ้านอยู่เส-วี-ยด แสนอดข้าว กินแต่น้ำเต้าขี้พร้าหน้าขิ้นสิว พอหวันช่ายแดดอ่อนส้อนปลาซิว หากินเหมือนยิ่วเหมือนแร้งหน้าแข้งลาย" เรามองดูตัวเองก็จริงอย่างเขาว่าหน้าแข้งเรามันออกลายๆจริงเสียด้วย แล้วแม่เรานุ่งโจงเบนอีก กินหมากปากแดงฟันดำ เกือกก็ไม่ใส่ เราคิดว่าแม่เราไม่น่าดู แม่มาตลาดกับเรา เราหลบหลีกไม่ให้เพื่อนๆเห็น แม้ตัวเราเองก็เหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเราไม่หล่อไม่ขาวเหมือนคนอื่นเขา แถมทั้งเล็กทั้งเตี้ย เราเกลียดที่สุดเวลาครูให้เข้าแถว และการเข้าแถวมีแทบทุกวัน
ความยากจนทำให้คนมีปมด้อยเป็นแน่แท้ เพราะไม่ว่าอะไรต้องใช้เงินทั้งนั้น เกือกเก่า เสื้อผ้าเก่าทำให้เรามีปมด้อย เวลาเพื่อนเขาไปซื้อข้าวเที่ยงกินกันเราต้องเที่ยวหลบๆซ่อนๆ ห้องสมุดก็ไม่มีจะได้หนีไปอ่านหนังสือ แล้วจะให้เราหนีไปไหน หิวนั้นพอทนได้ แต่ปมด้อยเก็บเอาไว้ในใจนาน ทำไมจึงเกิดมาจนนัก...เราชอบอ่านนิยาย"ลูกไม่มีพ่อ" ของ จ.ไตรปิ่น อ่านแล้วชอบใจเพราะมันคล้ายกับชีวิตเรา เราชอบกิฬาทุกชนิดแต่ก็เกลียดที่สู้เขาไม่ได้ ชอบร้องเพลงกลางทุ่งเพราะแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน เกลียดที่สุดอีกอย่างคือเวลาต้องออกไปรายงานหน้าชั้นคนเดียว กลัวคน กลัวมานานแล้ว เมื่อไหร่เราจึงจะหายกลัว
ในที่สุดก็จบม.๖จนได้ ผิดหวังอีกตามเคย จรุง หนูขวัญ อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ชนะเราอีก ๑๐ คะแนน...หมอนี่เมื่อก่อนชื่อจรงค์ แซ่ลิ้ม มันเกิดปี ๘๔ แต่หลอกอายุโดยหวัดเลข ๔เป็นเลข ๕ มันเก่งกว่าเราเพราะมันตาชั้นเดียวและมาอยู่บ้านญาติเป็นครูได้กินดีและมีคนแนะนำ(นี่เราหาเหตุผลมาพูดแบบผู้แพ้)

9.กิฬาพร้าวลีบ

น้องชอบเอาอย่างพี่...พี่เราเก่งกิฬาเราก็อยากเก่งบ้าง พี่เราคนที่พ่อเรียกว่า"เหียด"นั้นเก่งหลายอย่าง ผีแกก็ไม่กลัว เพราะเขาเล่าว่าตอนเรียนประถม แกลืมเก็บพลูจากในไสที่แม่สั่ง พอกลับมาถึงบ้านมืดแล้วแม่ถามหาพลู พี่เราบอกว่าลืม แล้วก็วิ่งกลับไปไร่ในความมืดผ่านป่าระยะทางกิโลกว่าเอาพลูมาให้แม่จนได้...ตอนแกกลับมาบ้านหลังจากจบการเรียนครูที่สงขลา แกก็มาร้องเพลง"ต้นตระกูลไทย"ให้ควายฟัง เสียงดังไพเราะฉะฉาน เราชื่นชมในความเก่งและอยากเอาอย่างอยู่ในใจ เรื่องเรียนแกก็เก่งแต่ข่าวว่ายังเป็นรองเด็กนามสกุลมีขนอน ก็เด็กคนนั้นเขามีพี่เป็นครูและบ้านอยู่ใกล้ทางรถไฟได้กินหมูกินควายพี่เราจะสู้ได้อย่างไร...เรื่องกิฬาแกก็เก่งหลายอย่าง ตอนเรียนมัธยมแกเล่นบาสแม้คอจะแคงเพราะเป็นฝีหินก็สู้เขาได้ ตอนไปเรียนสงขลาเขาว่าหรือแกว่าแกเก่งโดดสูงและโดดไกล แม้แต่มวยแกก็เคยต่อย แพ้ชนะไม่สำคัญ คนกล้าขึ้นเวทีก็นับว่าใจถึง...พี่เราที่ได้เรียนมออีกคนหนึ่งแม้หูแกจะหนัก แต่เก่งทางไม่กลัวคน ตอนแกเรียนม.๖ ที่บ้านเรามีงาน คนเป็นคู่อริของพ่อจะขึ้นเรือน แกไปขวางประตูแล้วยกตีนจะถีบหน้าคู่อริของพ่อ แล้วแกยังสำรากว่า "มึงศัตรูของพ่อ กูไม่ให้ขึ้นเรือนกู" เรื่องกิฬาแกเก่งทางโดดค้ำและวิ่งทน โดยเฉพาะวิ่ง ๑๐โล แกได้ขันเงินเอามาอวดแม่หลายใบ วิ่งมากโดดมากจนเป็นไส้เลื่อน ต้องมาให้ท่านครูขำบีบให้กดให้ หายหรือเปล่าไม่รู้...สำหรับตัวเรานั้นเล่นอะไรสู้เขาไม่ได้เลย ตัวเล็กตัวผอมพุงโรแม้วิ่งเปี้ยวเราเคยแพ้เด็กหญิง เรื่องมวยเราเคยต่อยหนเดียวเพราะเด็กรุ่นพี่มันยุให้ต่อยกับเณรช่วยที่หาดทรายท่าล่าง ตอนนั้นยังเรียนป.๓ คงแพ้กันทั้งคู่เพราะปากแตกหน้าบวมกันทั้ง๒คน ที่เรารู้แน่ๆก็คือปากเณรช่วยเบี้ยวไม่ได้เป็นเพราะถูกเราต่อย

ตอนอยู่วัดเวียงเด็กวัดนิยมเล่นบาคู่ บาคู่นี่เด็กวัดก็ทำกันเอง บางคนเล่นเก่งยืนด้วยมือบนบาแล้วยกเอาขาขึ้นชี้ฟ้าได้ บางคนเก่งกว่านั้นคือเดินด้วยมือขาชี้ฟ้าบนบากันเลย เราเองก็เคยเล่น ได้แต่ดันตัวขึ้น ลดตัวลง เคยหัดหมุนตัวออกจากบาลงพื้น แต่ก้นแทกดินบ่อยๆเลยต้องเลิก กิฬาที่เราชอบเล่นกันมากที่สุดคือกิฬาพร้าวลีบ กิฬานี้เป็นบาสเกตบอลของเด็กวัดเวียงรุ่นเรา เราใช้เหล็กก่อสร้างโบสถ์มาดัดเป็นห่วง แล้วตีตาปูติดต้นมังคุด ลูกบาสเราใช้พร้าวลีบ เล่นกันเป็นทีม ได้แต่รับส่งและชู๊ด เลี้ยงลูกไม่ได้มันไม่เด้ง กิฬานี้ค่อนข้างอันตราย เด็กโตๆที่เป็นนักเลงชอบส่งลูกแรงๆให้เรา ผลก็คือ ปากแตก หน้าบวม นิ้วโตนิ้วเขียวเจ็บและงอไม่ได้ เราเองก็ชอบเล่นกิฬานี้ แต่คนตัวเล็กตัวเตี้ยอย่างเรา ถ้าไม่จำเป็นเขาไม่ส่งลูกให้

การเล่นกิฬาถ้าเล่นเก่งหรือชนะบ่อยๆทำให้เกิดปมเด่น แต่สำหรับเราผลมันกลับกัน

10.เกือบตายตั้งหลายหน

การเจ็บป่วยตอนเราเป็นเด็กนั้นเสี่ยงตายมาก ทั้งนี้ก็เพราะความไม่รู้ของคนอันเกิดจากตำบลที่เราเกิดที่รัฐบาลดูแลไปไม่ถึง ใครโตและรอดมาได้ ไม่เป็นไข้ป้างหรือไข้อย่างอื่นๆตาย หรือแขนโกะขาเผลก็นับว่ามีโชคดีแล้ว เขาเล่าว่าเรามีพี่ชายอีกคน เป็นลูกคนที่๒ของแม่ชื่อคล่อง แต่เป็นไข้ตายตั้งแต่ยังเล็กๆ...เหียดที่พ่อเรียกพี่ชายเราเองเป็นฝีหินที่คอใต้หู คอพอกอยู่อย่างนั้นเป็นปี ฝีไม่ยอมแตก เดินเหินคอเอียงๆ คอหด คอพอก มาหายด้วยยาหรือคาถาของนายร้อยผาดข้างวัดเวียงเมื่อตอนอยู่ ม.๕หรือ ๖ พี่ชายคนนี้ตอนเล็กๆยังเป็นเสนที่ท้องรักษากันนานไม่ยอมหาย เขาว่ามีคนเอาช้างสารงายาวมาเหยียบให้แต่ก็ไม่หาย ตอนนี้เหลือแต่แผลเป็น พี่ชายอีกคนหูหนวกมาตั้งแต่ตอนเรียนที่ท่าฉาง ที่จริงไม่ถึงกับหนวกเพียงแต่หูหนัก ก็หูอักเสบหูมีน้ำหนองธรรมดาแต่ไม่มีหมอรักษาเท่านั้นเอง

ส่วนตัวเราเองตอนเด็กๆก่อนเข้าโรงเรียนขาเผลเดินไม่ได้อยู่หลายปี ตัวทั้งเล็กทั้งเตี้ย พุงโรเพราะขาดโปรตีน ร่างกายดูแล้วขี้โรคอ่อนแอ ป่วยเป็นไข้อะไรไม่รู้นานๆทุกปี ตอนเรียนประถมมีอยู่หนหนึ่งเขาว่าเป็นไข้ป้าง กินยาต้มของหมอเชื่อมขมปี่ทุกหม้อนับหม้อไม่ถ้วน หมอหมดปัญญารักษาจึงต้องมาไล่ผีให้ออกจากร่างของเรา หมอเรียกว่าปัดรังฟาน ไข้อยู่อีกนาน เราไม่ตายเพราะผีคงจะไม่อยากเอาเราไปก็ได้ ตอนอยู่ไชยาเป็นเกิดฝีที่ลูกดันขวาเดินไม่ได้เกือบปี เป็นฝีไม่มีหัว ฝีไม่ยอมแตก โรงเรียนก็ไกลครูมงคลต้องมารับนั่งท้ายรถถีบยี่ห้อราเลย์ของแกทุกเช้าเย็น ตอนหายก็นายร้อยผาดหมอเดียวกันกับที่เคยช่วยพี่ชายเรา

ตอนอยู่วัดเวียงได้เกิดอุบัติเหตุที่เราสมควรตาย กลางคืนเดือนมืดมีคนเรียกให้รีบไปดูผี เราวิ่งลงจากกุฏิบันไดอิฐ ๓ขั้น บำเรอวิ่งหนีผีขึ้นบันไดเดียวกันกับเรา หน้าเราเกิดชนกันอย่างแรง ตัวเราสลบไสลไปกองอยู่บนลานวัด เขาว่ายังหายใจได้อยู่แต่ไม่รู้สึกตัว แม้อยู่ไม่ไกลจากตลาดไชยาก็ไม่มีใครพาเราไปหาหมอ ตกดึกเราก็ฟื้นไม่รู้ใครหามเราขึ้นมาบนกุฏิ ตอนเราตื่นเราเห็นหน้าเด็กพระเณรพอรางๆจ้องมาที่หน้าเรา เขาคงรอว่าเราจะเป็นหรือตายกันแน่ เวลาผ่านไปตั้ง๒วัน แม่และพ่อจึงมาถึงวัดดึกจัดราวตี๓ ตาเราข้างซ้ายสีแดงเหมือนเลือด บวมจนมองไม่เห็นอะไร ปากเราดูในกระจกแล้วเหมือนปากครุฑ ริมฝีปากเราพองโตสีดำปนเขียวจะเน่าอยู่แล้ว แม่เป็นคนพาเราไปหาหมอ หมอสดฉีดยาให้และให้ยามากิน กว่าจะหายก็เกือบเดือน ส่วนบำเรอเด็กเกาะงันนั้น ถูกฟันของเราเต็มหน้า แผลที่ระลึกยังมี เป็นไอ้หน้าบากยาวเกือบ ๔นิ้ว ฟันหน้า ๓ ซี่ของเราก็ยังคลอนอยู่ มาจนถึงวันนี้

11. ขึ้นเหนือหรือลงใต้

จบม.๖ที่ไชยาสมัยนั้นเป็นชั้นสูงสุดแล้ว ม.๗-๘ยังไม่มีสอน ฉะนั้นพอโรงเรียนปิดเทอมสุดท้ายของปี นักเรียนที่จบม.๖ส่วนใหญ่ก็ไปหาที่เรียนต่อที่บางกอกหรือบ้านดอน เขารู้ที่จะไปพัก เขารู้ที่จะไปเรียน เขายังรู้กันอีกว่าอนาคตของเขาจะได้เป็นนั่นเป็นนี่ คนมีเงินมีสิทธิ์ฝัน และทำความฝันให้เป็นจริงได้
พี่ชายเราคนที่หูหนักจบม.๖คนแรก เรียนม.๖ ตั้ง๒ปี จบแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็น้องเชิ้มลูกชายน้าเสื้องคนเปิดประตูการเรียน ม.๑ให้เราอีกนั้นแหละ แกแนะให้พี่เราไปสมัครเป็นครูที่เกาะหมุย โรงเรียนราษฎร์ชื่อศรีเรืองวิบูลวิทย์ สอนอยู่ได้ ๑ปีก็สอบเทียบครู พ.ที่จังหวัดได้ อาจจะเป็นเพราะบารมีของโปรุ่งก็ได้ เพราะตอนนั้นลูกศิษย์โปรุ่งชื่อซ้อนเป็นศึกษาจังหวัดอยู่ พี่เราได้บรรจุในป่าลึกเรียกโกงเหลงของอำเภอนาสาร เป็นข้าราขการครูพิเศษมูลชั้นต่ำสุด อย่าถามเรื่องเงินเดือนดีกว่า แกเคยว่าอย่างนั้น ... ส่วนพี่ชายคนที่ ๒ คนที่อยู่วัดหลาทึงและวัดเวียงกับเรานั้น เมื่อจบม.๖แล้ว สอบชิงทุนได้ไปเรียนครู พ.๑ปี จบแล้วก็ได้งานที่โรงเรียนบ้านไทรห้องแถวเวียงสระ ลงรถไฟที่ตลาดแล้วก็เดินนับหมอนกลับหลังอีกหลายเหงื่อจึงจะถึงโรงเรียน

คนมีปมด้อยเพราะรู้ว่าพ่อแม่ยากจนอย่างเรา ย่อมไม่กล้าคิดเรื่องอนาคต ถ้าคิดไปก็ติดขัดที่เงินนั้นแหละ ปมด้อยก็ยิ่งมากเข้าไปอีก ที่จริงเราเองก็พอจะรู้ว่า เด็กจบม.๖ที่คิดการใหญ่ต้องไปเรียนเตรียมอุดม ม.๗-๘ ที่กรุงเทพ จบแล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย เรียนเป็นวิศวกร นายแพทย์ นายร้อย เมื่อเราคิดกับเขาแบบนั้นไม่ได้ ก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้จบ ม.๖ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ จบแล้วไม่รู้ก็จะไปทางไหน ไม่แตกต่างจากพี่ๆของเรามากนัก เราไม่กล้ากลับบ้านกลัวคนถาม เราก็ขออยู่วัดเวียงต่อไป รอดูว่าจะมีช่องทางไหนบ้าง ที่เราจะได้งานทำหรือจะได้เรียนต่อ

คนมีปมด้อยย่อมมีความกลัว กลัวว่าจะต้องไปแลควายไถนาทำไร่ทำปรนขึ้นตาลแบบพ่อ ตอนเด็กกว่านี้ไม่เคยคิดไม่เคยกลัว แต่จบม.๖ แล้ว มืออ่อนตีนอ่อนเกิดกลัวความจนและงานกรรมกร ฉะนั้นพอโรงเรียนปิดเทอมปลายได้วันเดียว เราเริ่มบุกคือเรียนหนัก เรียนด้วยตัวเอง ทบทวนวิชาหลัก หัดจดจำให้แม่นยำ ตื่นแต่ตี๓ หยุดเล่นหยุดสนุก เรียนอย่างเดียว ไม่มีวันหยุด ทำแบบนี้อยู่เดือนกว่า ดูแล้วก็บ้าๆแบบพระหัดท่องปาติโมกข์หรือเรียนเป็นมหา

เดือนพฤษภาใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว เพื่อนๆที่ยังหลงเหลืออยู่ไชยา บอกข่าวว่าที่ตัวจังหวัดมีการสอบเข้าเรียน ๒อย่าง เรียน ม.๗-๘ที่ โรงเรียนประจำจังหวัดอย่างหนึ่ง และสอบชิงทุนเรียนครู ป.กศ.ต้นหลักสูตร ๒ปีอีกอย่างหนึ่ง เราไปหาแม่ แม่พาไปพักบ้านโปรุ่งที่บ้านดอน สอบเข้าม.๗ก่อน ผลออกมาได้ที่๒ ดีใจเกือบตาย โปรุ่งว่าอยู่บ้านแกนี้แหละ.... ไม่กี่วันต่อมาสอบชิงทุนครู นัดนี้เด็กสอบกันมาก มากันทั้งจังหวัดจากทุกอำเภอ ดูๆแล้วคงหลายร้อย ส่วนมากนุ่งกางเกงขายาว ผมก็ยาวทาตันโจหวีแปล้ ส่วนเรานุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี เสื้อสีขาวแก่ ปักหน้าอก พ.น.๒ แถวล่าง ๙๒๐ ผมเกรียน วันสอบแม่เดินไปส่งที่สนามสอบ แม่ว่า "จะสู้กับเขาไหวหรือหนิด" สอบแล้วกลับบ้านกับแม่ เด็กมากต้องตรวจนาน ให้มาดูผลอาทิตย์หน้า

วันประกาศผลเราไปกับพ่อ นอนบ้านโปรุ่งอีก โปรุ่งว่า "ศึกษาชื่อเริง นากลอน กูไม่รู้จัก หนิดเอ้ย" ราว ๘ น.ศาลากลางเก่าข้างแม่น้ำเปิดทำงาน เด็กผู้ใหญ่มารอดูผลเต็มสนามเหมือนมีงานวัด ได้ยินคนเขาพูดกันว่า คนได้ที่๑ ไปเรียนที่กรุงเทพ คนอื่นๆที่สอบได้ไปเรียนนครและสงขลา เข้าแถวกันยาวยืดกว่าเราจะถึงป้ายประกาศผลก็ร่วมชั่วโมง ใครก็ไม่รู้เรียกชื่อเรา เราเหลียวหลังไปดูมีแต่คนที่เราไม่รู้จัก ใจเราเต้นตุ๊บตั๊บ ใกล้เข้ากระดานติดประกาศเข้ามาทุกที เห็นชื่อนามสกุลเป็นแถวเรียงกันลงมาราว ๓๐-๔๐ชื่อ ใกล้เข้ามาอีกนิด พออ่านตัวหนังสือออก แทบจะเป็นลม ชื่อเราหาไม่ยาก ติดโร่อยู่หัวแถว....เราวิ่งไปหาพ่อที่รอเราอยู่ไม่ไกล บอกพ่อด้วยความดีใจว่า "ผมได้ไปเรียนบ้านสมเด็จ" พ่อไม่รู้เรื่อง "อะไหรของหมึง" แกว่า "ผมได้ที่ ๑ เขาให้ไปเรียนที่กรุงเทพ" พ่อยิ้ม

12. กางเกงขายาวตัวแรก

จะไปกรุงเทพแล้ว พี่คนหูหนักพาเราไปตลาดไชยา เพื่อให้ช่างวัดตัวตัดกางเกงขายาวสีกากีผ้าโอร่อน นี่เป็นกางเกงขายาวตัวแรกในชีวิต ใส่แล้วกลีบโง้งรู้สึกคับที่เอวก้นและโคนขาแบบเอลวิสตามสมัยนิยม จนถึงวันนี้ยังไม่รู้แน่ว่า พี่แกคิดช่วยเหลือเราเองหรือแม่ช่วยคิดให้แก

คนไปไหนด้วยตัวเองไม่ได้มีปมด้อย เราไม่เคยไปกรุงเทพ พี่พ่อแม่ก็ไม่เคยไป โชคดีอีกอาจารย์ครูพาไปส่ง พ่อแม่ขอร้องท่านหรือเปล่าไม่ทราบ แม่ให้เงินเรา ๑๒๒๗บาท อาจจะเป็นเงินที่พ่อแม่มีทั้งหมดก็ได้ เสียค่ารถไฟ ๕๕บาท อาจารย์ครูได้ลดครึ่ง ท่านเสียเงินของท่านเอง ถึงแล้วมืดค้างคืนที่บ้านพี่เสริฐลูกพราห์มแช่มที่เมืองนนท์ พี่เสริฐก็รุ่นเดียวกับพี่ชายเรา เคยอยู่วัดเวียงมาด้วยกัน รุ่งเช้าพี่เสริฐพาำเราไปส่งเข้าหอพักนักเรียนทุนของวิทยาลัยครูที่ตรอกบางไส้ไก่ธนบุรี

มีหอพักอยู่ ๒หอ ปี๑และปี๒ มีเด็กทั้งหมดราว ๓๐๐ คน นอนกันเป็นแถวในห้องโถงใหญ่มีเตียงและฟูก ห่างกันไม่เกิน๒ฟุต ไม่ต้องกางมุ้งเขามีมุ้งลวด เรานอนชั้น๒มีเด็กราว ๗๐คน ชั้นล่างมีตู้เก็บของส่วนตัวคนละตู้ อาบน้ำกันนอกอาคารนั้น มีบ่อน้ำทำด้วยปูนรูปสีเหลี่ยมผืนผ้ายาวราว ๑๕ฟุต สูงแค่เอว กั้นฝาด้วยไม้ ๓ด้าน ด้านที่ ๔ เป็นด้านติดถนน ไม่มีฝาแต่มีรั้วไม้กั้นพอบังตาคนที่เดินไปมาบนถนนได้...ในอ่างหรือบ่อน้ำเย็นใสแจ๋วไหลมาตามท่อจากบ่อบาดาล เด็กทุกคนมีขันน้ำของตัวเอง นุ่งผ้าขาวม้าลงมาจากตึกหอพัก อาบน้ำพร้อมกันได้คราวละ ๑๐คน แก้ผ้าอาบน้ำกันทั้งนั้น ไม่มีกฎแต่ทุกคนต้องทำ...มีเด็กสงขลาคนหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ ใครก็ไม่รู้ลักผ้าข้าวม้าไป หมอนี่เอาขันน้ำปิดที่หว่างขา แล้วเดินโทงเทงผ่านโรงครัวไปฟ้องอาจารย์ชุมพรที่บ้านพัก แม่ครัวเห็นเข้าร้องเจี้ยวจ้าววางมีดวางหม้อวิ่งหนี

เขาทำอาหารให้กินวันละ ๓ มื้อ รวมทั้งเสาร์อาทิตย์ด้วย ตั้งแต่เริ่มไปโรงเรียนมาได้กินข้าว ๓ มื้อก็ในช่วง ๒ปีนี้เท่านั้น โรคพุงโรเพราะขาดโปรตีนของเราหายไป เด็กบางคนบ่นว่าอาหารไม่ดีแต่เราไม่เคยบ่น เรากินอิ่มทุกมื้อ มิน่าเล่าพอเรียนจบครบ ๒ปี เรากลับไปไชยาและเสวียดคนที่เคยรู้จักเรา เห็นเราแล้วแปลกใจ "อ้ายหนิด มันผิดน้ำ" เขาว่า

13. พ่อค้าขายผงซักฟอก

ปลายปี๑ เพื่อนๆเขาไปสอบเทียบ ม.๘ กัน ส่วนใหญ่สอบผ่าน พอเริ่มเรียนปี ๒ บางคนลาออกไปเรียนมหาวิทยาลัยกันเลย ตัดหน้าพวกเด็กนักเรียนเตรียมเสียอีก คนมีปมด้อยอย่างเรา ไม่ได้เสาะรู้ไม่คิดการณ์ไกล ไม่เคยคิดเรื่องใหญ่ ได้กินดีอยู่ดีก็พอใจที่สุดแล้ว แม่ยังบังคับพี่ชาย ๒คนที่กินเงินเดือนให้ส่งธนาณัติมาให้เราอีกคนละ ๑๐๐ ก็เป็นครั้งแรกอีกที่มีเงินใส่กะเป๋าประจำ สุขีแล้าเรา แต่คนไม่เคยใช้เงินก็เผลอใช้หมดก่อนสิ้นเดือนเป็นประจำ การขอเงินเพิ่มต้องขอจากเหียดของพ่อ พี่คนนี้ไม่เคยขัด
เราโตแล้วต้องคิดหาเงิน ก็เห็นเพื่อนๆไปรับจ้างตัดอ้อยกันที่เมืองชลตอนปิดเทอมได้เงินมาเป็นมัด แต่ผิวเนื้อออกนิโกร และมีแผลเป็นตามตัวเพราะใบอ้อยบาดทั้งหน้าทั้งหลัง กรรมกรแบบนี้เราไม่สู้ บางคนรับจ้างต่อยมวย ฝึกกันจนแทบไม่มีเวลาทำการบ้าน ปากแตกหน้าบวม แต่พอได้ขึ้นราชดำเนิน เด็กรุ่นเราก็ถูกน็อกต้องเลิกกลับมาเรียน ปกศ.หากินทางสอนเด็กทุกคน บางคนยังได้แผลเป็นที่หน้าไปฝากแม่ด้วย

เราเองได้ฟังวิทยุ เขารับคนทำงานคนเดินสายตามบ้านขายผงซักฟอกยี่ห้อใหม่ เงินดีแบ่งเงินกันครึ่งต่อครึ่ง ฟังแล้วน่ารวย เรารีบไปสมัครทันที บริษัทจดชื่อและบัตรประจำตัวนักเรียนพร้อมมอบตะกร้าสีเขียวสีแดงให้เรา ในตะกร้ามีกล่องผงซักฟอกขนาดต่างๆครบครัน เขาสอนเทคนิกการขายให้นิดหน่อย เรามีหน้าที่ไปขายตามบ้านอย่างเดียว ครบ ๒วันต้องกลับมาที่บริษัทแบ่งเงินกันแล้วเอาของเพิ่มเติมไปขายต่อ...มันน่าจะง่าย เราคิดในใจ พอครบ ๒ วันเรากลับไปที่บริษัทตั้งแต่เช้าตามข้อตกลง เราคืนตะกร้าและของทุกชิ้นและขอลาออก เดินคอตกกลับหอพัก.... คนมีปมด้อยได้ไล่ตัวเองออกจากงานตำแหน่งแรก เรากลัวคน ไม่กล้าเคาะประตูบ้านคน ไม่กล้าบอกขายของ เรากลัวเขาไม่ซื้อ คงจะขี้อายด้วย สักบ้านเดียวเราก็ไม่กล้าเข้าไปเสนอขาย

14. จบ๒ปริญญาค่าตัว 1300 บาท

วันที่ ๓๐มิถุนายน ๒๕๐๔ เราได้เป็นข้าราชการครูตำแหน่งครูประจำชั้น ป.๖มาครบเดือนแล้ว โรงเรียนอยู่ข้างสถานีรถไฟธนบุรี วันนี้เราได้รับเงินเดือนๆแรก ๕๘๘บาท ที่จริงบรรจุ ๖๐๐ แต่เขาหักบำเหน็จบำนาญและเงินสะสม ดีใจเหลือเกิน มีเพื่อนครูและครูใหญ่เรียกเราว่า "คุณ" เด็กๆเรียกเราว่า "คุณครู" เราอายุแค่ ๑๙ พ่อแม่เด็กยกมือไหว้เราก่อน บางทีเรานึกไม่ถึงไหว้ตอบไม่ค่อยทัน แล้วเงินเดือนตั้งหลายร้อยนี่ กระเป๋าไม่เคยอุ่นแบบนี้เลย แบ่งเงินเดือนเดือนแรกนี้ส่วนหนึ่งไว้ เพื่อซื้อของ แม่เราชอบขนมเปี๊ยะไส้ลูกบัว ส่วนพ่ออะไรก็ได้ แกชอบทุกอย่าง ผ้าถุงปะเต๊ะอีกถุงให้พี่สาว พี่ชายอีกคนที่ทำนาอยู่บ้านก็ให้ของที่แกชอบคือแม่โขงขวดกลม เราเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน ตอนเช้ากินข้าวอิ่มท้อง แต่งตัวใส่เสื้อแขนยาวขาวผูกเน็กไท้ใส่เกือกหนัง ไปทำงานโหนรถเมล์...ชีวิตแบบนี้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว เคยคิดอย่างนี้ ปมด้อยที่เคยมีก็เริ่มจะจางหายไป...ก็ไม่อดแล้วนี่หว่า จะเอาอะไรมาก

ปีนั้นทองราคาบาทละ ๖๐๐ เท่ากับเงินเดือนเราพอดี ครูคนไหนประหยัดหน่อยก็ผ่อนค่าที่ดิน ๖๐วาแถวศาลายาได้ ราคาสูทกางเกงรวมเสื้อนอกชุดละ ๔๐๐-๕๐๐ บาท ครูส่วนมากมีกันไว้ใส่ไปงานแต่งงาน เราไม่เคยมีกับเขาเพราะเราคิดว่าแพงไป เงินเดือนเราแค่นั้นหาสมควรหลอกลวงตัวเองไม่ ความคิดปฏิวัติสังคมเริ่มจะมี มีครูทำตามหลายคนเหมือนกัน นอกจากนั้นแล้ว ภาษีสังคมอย่างอื่นๆตามมาทุกเดือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นค่าแต่งงานคน บวชนาค งานศพ ผ้าป่า กฐิน งานวันเกิดเจ้านายหลายระดับ เงินบำรุงสหกรณ์ครู(ที่จริงควรเรียกโรงรับจำนำหรือสหกรณ์สร้างหนี้) เมื่อเป็นแบบนี้ตอนปลายๆเดือน เราและครูจำนวนไม่น้อยต้องเอากางเกงและนาฬิกาข้อมือเข้าโรงจำนำ ครูบางคนปล่อยเงินให้ครูด้วยกันกู้ คิดดอกแพงลิ่ว ครูบางคนประหยัดเงินโดยนอนในห้องเรียน แต่ต้องตื่นเช้ามาก เพื่อเก็บเครื่องนอนซ่อนในตู้อย่าให้เด็กเห็น

การปรับเงินเดือนให้สูงขึ้นที่เร็วที่สุดคือการเรียนต่อ เราสอบเลื่อนวุุฒิเป็นครู พ.ม. และเรียนจบ กศบ.ในปี ๒๕๐๗ ตอนนั้นปริญญาตรีเขาจ่าย ๑๒๕๐บาท ก็ดีใจกันเป็นที่สุดแล้ว ใครจบก็รับปริญญาจากในหลวง มีการเฉลิมฉลองเสียเงินมากกว่าเงินเดือนเดือนหนึ่งเสียอีก มารู้ตอนหลังว่า เงินเดือนแค่นี้เราสู้แม่ค้าขายผักใต้สะพานลอยหน้าโรงเรียนของเราไม่ได้ เราเลยเปลี่ยนแผนเรียนวิชากฎหมายตอนกลางคืน จนได้ น.บ.เมื่อปี ๒๕๑๐...แม้จะได้ ๒ ปริญญา เมื่อคิดไปถึง ๑๐ ปีข้างหน้าอายุเราก็ใกล้จะถึง ๔๐ แต่สภาพเศรษฐกิจส่วนตัวคือยังยากจน...ปมด้อยประดังเข้ามาอีกแล้ว

15. จงเลือกที่อยู่ในประเทศอันสมควร

เราอายุ ๒๖ ยังไม่มีพันธะลูกเมีย แม้จะรู้สึกว่าค่อนข้างจะยากจน แต่เราคิดว่าช่องทางจะต้องมีอยู่ข้างหน้า พ่อแม่คดห่อให้เราเอาไปกินจนเราไปได้ถึงครึ่งทางแล้ว ขั้นต่อไปเราต้องคิดเอาเองบ้าง เราคิดอย่างนั้นความท้อถอยก็หมดไป มีแต่ความมุมานะ เราเห็นครูบางคนไปทำอาชีพรอง เช่นรับของเขามาขายพวกครูกันเอง ขับเท็กซี่ ออกเงินดอก เล่นแชร์ นายหน้าขายที่ดิน คนหนึ่งผลิตยาสระผมกันแก้หัวล้าน ทำเองในบ้านแล้วแบกใส้ลังไปส่งตามห้าง ตัวเขาเองอายุเท่าเรา แต่ผมบนหัวสักเส้นก็ไม่มี บางคนตัดสินใจเด็ดขาดทิ้งอาชีพครูไปปลูกข้าวโพดอ่อนส่งขายนอก เราเองก็ตั้งใจจะเปลี่ยนอาชีพไปหากินโดยใช้วิชากฎหมาย จึงเรียนกวดวิชาเตรียมสอบ นบท.วันสอบใกล้เข้ามาแล้ว.... แต่มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนใจ เพราะเราสอบได้ทุนไปเรียนโทเมืองนอกทางวิชาครูได้...อยากไปนอกมานานแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่มีบ่อยๆ ตัดสินใจไม่ยาก แต่ก็ต้องฝึกฝนภาษาอยู่ร่วมปีจึงได้ไป

มหาวิทยาลัยอยู่ห่างเมืองใหญ่เกือบ ๑๐๐ กิโล แต่สะดวกสบายทุกอย่าง ปมด้อยเรื่องภาษาก็มีแต่มีรูมเมทเป็นฝรั่ง ในสาขาวิชาที่เราเรียน เราพยายามเรียนให้ลึกที่สุด จนเราเกิดความรู้สึกในใจว่าในวิชานี้คงไม่มีใครในประเทศไทยรู้มากกว่าเรา คิดได้ดังนี้ ความที่เคยกลัวคนเวลาเราออกไปพูดหน้าชั้นหมดไป ดังนั้นเมื่อจบกลับมาแล้วได้ตำแหน่งที่ต้องพูดให้ครูและครูใหญ่ฟัง แม้จะมีคนฟังเป็นร้อย เรายืนพ่นอยู่หน้าห้องประชุมใหญ่คนเดียว รู้สึกสบายมาก ไม่กลัวอีกแล้ว จึงพอสรุปได้ว่า ถ้าเราวิชาแก่กล้า ทำให้เราเกิดความมั่นใจ ความกลัวคน หรือความกลัวอันเป็นที่เกิดปมด้อยของเรานั้นหายไปได้

การได้ไปเมืองนอก ทำให้เราได้รู้ช่องทางในการทำมาหากินของเรา ที่นั่นคนมีปริญญาอย่างเรามีโอกาสดีมาก ที่จริงแล้วคนของเขาทุกคนแม้ไม่จบมหาวิทยาลัย ถ้าได้งานมีหลักมีฐานหน่อยก็ซื้อรถและบ้านได้ ไม่ต้องทรมารทรกรรมทำงานหามรุ่งหามค่ำหรือทำหลายอาชีพจึงจะพอกิน ถ้าใครได้เรียนถึงระดับปริญญา และได้งานทำตามความรู้ที่เรียนมา ฐานะทางเศรษฐกิจของเขาดีกว่าคนจบปริญญาในประเทศเรามากนัก ได้เที่ยวไปทั่ว ทุกบ้านไม่ว่าในป่าในดงเขามีถนนถึงตัวบ้าน เพราะทุกบ้านต้องมีรถ รถส่วนตัวเป็นปัจจัยที่๕ ของคนที่นี่...เมื่อเรารู้แจ้งดังนี้แล้วก็ได้ความคิดว่า คนเราทุกคนที่เกิดมา เลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เรื่องที่อยู่เราเลือกได้

อยู่วัดนานพอจำคำพระได้เลาๆว่า "จงเลือกที่อยู่ในประเทศอันสมควร"

16. ภารโรงปริญญาโท

ปี ๒๕๑๔ กลับจากนอก ต้องทำงานใช้ทุน ๓ปี ตำแหน่งสุดท้ายคือ ศึกษานิเทศก์จังหวัดโคราช ตอนนั้นรู้สึกว่าวิชาแก่กล้ามาก ไม่กลัวคนอีกแล้ว ปมด้อยเรื่องปอดแหกขาสั่นเวลาพูดให้คนฟังในที่ประชุมเล็กใหญ่หายไปเหมือนปลิดทิ้ง แต่ว่าเงินเดือนยังอยู่ที่ ๒๒๕๐ บาท ตอนนั้นราคาทองบาทละเท่าไรจำไม่ได้ แต่ก็คงจะพอๆกันกับเงินเดือนที่เราได้รับ

เราชอบกิฬาแม้เราจะมีปมด้อยเรื่องนี้ เราก็อยากเล่น เคยไปดูเขาตีแบทมินตั้น ตีเทนนิส ตีกอล์ฟ อยากลองทั้งนั้นแต่ต้องเสียเงิน เงินมีบ้างแต่ก็ไม่สมควรจะเอาเงินไปตีเล่น โดยเฉพาะกอล์ฟ เราไม่กล้าเข้าไปดูเขาตีในสนาม ต้องแอบๆดูตามข้างรั้ว ก็กอล์ฟนี่เป็นกิฬาของคนรวย รู้กันอยู่แล้ว อดีตครูประชาบาลและตำแหน่งศึกษานิเทศก์ เงินเดือนแค่ ๒๐๐๐กว่า อย่าเข้ามาแหย ...ทราบแล้ว ก็ปลงใจ ชีวิตนี้อดเล่นแน่นอน เรามีปมด้อยเรื่องกิฬาบ้าบอนี้เข้ามาอีก ที่จริงก็ "เงิน" ตัวเดียวเท่านั้น ถ้ามีเงินมากบ้านเราซื้อได้แทบทุกอย่าง ตัวยาขัดปมด้อยที่ดีที่สุดก็คือเงิน

เราได้ตัดสินใจเลือกที่อยู่แล้วเมื่อ ๓ ปีก่อน เรามั่นใจว่าที่นั่นสำหรับเรา เราจะต้องหาเงินง่ายกว่าที่นี่ ก็ที่นี่เราลองมาแล้ว ๑๒ปี มองไปข้างหน้าก็จนกับจนเท่านั้น คนมีปมด้อยอย่างเราเรื่องการหาเมียรวยไม่เคยคิดเสียด้วย กลัวเมีย แม่ยายและพี่น้องฝ่ายเมียยัดปมด้อยให้แก่เราอีก

ปี ๒๕๑๗ หลังจากเราได้ร่วมเดินขบวนไล่ ๓ทรราชย์ออกจากประเทศไปแล้ว เราตัดสินใจลาออกจากราชการ ได้เงินบำเหน็จ ๑ หมื่นบาท เกือบพอค่าเรือบิน ตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอกอีกหนที่ มหาวิทยาลัยเดิมที่เคยเรียนมา อาจารย์ที่ปรึกษาถามว่า ตั้งใจจะเรียนวิชาเอกอะไร เราตอบว่าวิชาใดก็ได้ที่คนไม่ค่อยเก่งภาษาอย่างเราอาจจะหางานทำได้ในประเทศนี้ อาจารย์แนะว่า ตำแหน่ง Media Specialist  หรือครูบรรณารักษ์ยุคใหม่ โอกาสท่าจะดี เราก็เรียนวิชานั้น

จะเอาค่าเรียนเทอมละ ๕๐๐ เหรียญกว่ามาจากไหน? เงินที่ติดตัวมาเสียค่าเช่าห้องใต้ดินเป็นที่ซุกหัวนอนก็หมดแล้ว เราเดินดุ่มๆไปเรื่อยๆก็เจอเจ้าของบ้านที่เราเคยเช่าเขาอยู่เมื่อ ๓ปีก่อนนี้ เขาเป็นหัวหน้าภารโรงศาล เราขอทำงานกับเขา เขาว่าทำวันนี้เลยคนขาดอยู่พอดี เราเรียนวิชามีเดียตอนกลางวัน เป็นภารโรงตอนกลางคืน ทำตั้งแต่ ๔โมงเย็นถึงเที่ยงคืน อาทิตย์ละ ๕วัน ไม่เลวเลยเงินเดือนออกมา ๕๕๐ ดอล ทำเดือนเดียวก็ได้ค่าเทอมแล้ว หลังจากนั้นอีก ๒ เดือนเราก็มีรถมือสองขับอีกด้วย การเป็นภารโรงแต่ได้ค่าจ้างเดือนละหมื่นกว่าบาทเราภูมิใจมาก บอกเพื่อนๆคนไทยเต็มปาก ไม่รู้สึกมีปมด้อยเลย คนไปเรียนนอกเป็นภารโรงกันมาก บางคนกลับมาไทยได้เป็นใหญ่เป็นโต และมักปิดบังเรื่องเคยรับจ้างฝรั่งถูพื้นล้างส้วม เขารักเงินแต่กลัวเสียศักดิ์ศรี

เรียนอยู่ ๑๕ เดือนก็จบ ได้ใบประกอบอาชีพครูบรรณารักษ์ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึง เกรด ๑๒ ...แต่เรื่องยากลำบากอยู่ข้างหน้า

17. ลาก่อนความจน
งานดีไม่ว่าที่ไหน หายากทั้งนั้น หางานที่เมืองนอกไม่มีการสอบ เขาประกาศว่ามีงานว่างในสาขาวิชาเราที่ไหน เราก็ส่งใบสมัครไป ส่งไปแล้วก็รอ โดยมากเขาตอบ ตอบว่าไม่รับ ได้คนเสียแล้ว คงจะโกหกเราก็ได้ เราจะไปรู้ได้อย่างไร บางแห่งถ้าเขาสนใจเราก็เรียกเราไปคุย ก็สอบสัมภาษณ์นั้นแหละ เราไม่เลือกงาน ไปสัมภาษณ์โรงเรียนเดียวก็ได้งานเลย กำหนดเริ่มทำงาน เดือนกันยา ปี ๒๕๑๙

ก็อาจจะเพราะโรงเรียนอยู่ในที่กันดาร แข่งขันกันน้อยหน่อย หรือว่าเรามีปมด้อยชอบถ่อมเนื้อถ่อมตน ที่ว่ากันดารคือไกลจากเมืองใหญ่ แต่มีโทรทัศน์ โทรศัพท์ มีน้ำมีไฟและถนนถึงบันไดบ้าน โรงพยาบาลยังก็มี วิทยาลัยก็มี เป็นเมืองเล็กมีคนไม่ถึง๑๐๐๐ แต่นักเรีียนมี ๒๐๐๐ กว่า บ้านเด็กส่วนใหญ่อยู่ไกลโรงเรียนนอกเมืองออกไป และอยู่ห่างๆกันมาก เพราะที่นี่เป็นถิ่นอินเดียนแดง เผ่านาวาโฮ อาชีพเลี้ยงแพะแกะ โรงเรียนมีรถบัสรับส่งเด็ก การสอนไม่ยาก ครูใหญ่เอาใจครูน้อย ส่วนเรื่องเงินเราไม่ต้องห่วงแล้ว คนกินข้าวกินน้ำชุบอย่างเรา ทุกเดือนเงินเดือนเหลือเกินครึ่ง

ก็เราคนชอบกิฬาแม้ว่าสู้เขาไม่ค่อยได้ในไทย แต่เมืองนอกสบายมาก ที่เราทำงานคนเขานิยมเล่นกิฬากันหลายอย่าง เช่น ตกปลา ล่าสัตว์ กลางคืนเล่นไพ่ ของที่เราชอบทั้งนั้นและไม่ต้องใช้พละกำลังมาก ถ้าเราไปตกปลาเราได้กินปลาสดทุกที ที่เหลือกินก็เข้าช่องน้ำแข็ง สัตว์เล็กๆเช่นกระต่าย และนกเขานกคุ่มเราล่า ล่ากันเป็นฤดูกาลต้องมีใบอนุญาต ปืนลูกกรดและปืนลูกซองเรามีพร้อม พวกกวางเล็กกวางถึกคนอื่นเขาล่ากัน เราใจไม่กล้า ส่วนเรื่องการเล่นไพ่สำหรับเราถนัดอยู่แล้ว สกีหิมะลงเขา สเก็ดน้ำแข็ง เทนนิส ก็เคยเล่นแต่ไม่ค่อยชอบ ...แต่มีกิฬาอย่างหนึ่งคือกอล์ฟ นึกชอบ เห็นครูๆเขาไปเล่นกัน บางทีเราก็ตามหลังเขาไปดูเขาเล่น เขาหัวเราะฮาตึงสนุกกัน แต่เรากลัวกิฬานี้มาก ติดความกลัวมาจากไทย เรากลัวว่ามันแพง ต้องเสียค่ากรีน ค่าลูก ค่าเกือก ค่าถุงมือ ค่าไม้ชุดหนึ่งคิดว่าคงตั้ง ๑๐๐๐เหรียญ นอกจากแพงแล้วเรากลัวอีกว่าจะสู้เขาไม่ได้ หวดกันทีเต็มแรงเสียงดังเสียวไส้...ความกลัวทำให้เราไม่กล้าถามใคร เก็บปมด้อยเอาไว้ในใจ แกล้งทำเป็นไม่สนใจ อยากเล่นนั้นอยาก แต่ความกลัวกิฬาบ้าบอนี้มีมากกว่าความอยาก

18. ครูประชาบาลเล่นกอล์ฟทุกวัน

กาลล่วงไปจนถึงปี ๒๕๓๔ เราอายุ ๕๐ ปีพอดี ตอนนี้เราได้งานใหม่ในเมืองขนาดปานกลาง อยู่ไม่ไกลจากลาสเวกัสนัก เมืองนี้มีสนามกอล์ฟ ๒สนาม ครู ครูใหญ่ไปเล่นประจำ ภารโรงก็ไปเล่นแถมมาเล่าให้เราฟัง ว่าตีแล้วสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ได้แต่ฟังเขาเล่า ความอยากเล่นและความกล้ามีมากขึ้น... เหตุเกิดเมื่อวันหนึ่งเพื่อนครูที่สนิทสนมกันชวนเราไปเดินเป็นเพื่อนดูเขาเล่น เราก็สังเกตว่าเขาเสียค่าตีเท่าไร ก็แค่ ๘ ดอล เราถามว่าต้องเสียค่าสมาชิกอีกหรือเปล่า เขาว่าไม่ต้อง เราถามว่าค่าไม้ชุดละเท่าไร เขาว่าของเก่าไม่เกิน ๕๐-๖๐ ดอลก็มี เราสังเกตวิธีเขาตีทุกขั้นตอน ดูแล้วไม่ยาก ก็เราเคยดูในทีวี ดูแล้วเล่นง่ายดี พละกำลังก็ไม่ต้องมาก คนตัวเล็กตีไกลกว่าคนตัวใหญ่ก็มี...พอไปถึงหลุมที่ ๓ มีเรากับเพื่อน ๒คนเท่านั้น เขาเอาลูกกอล์ฟตั้งบนT แล้วเอาไม้กอล์ฟยัดใส่มือเรา บอกให้เราลองตี ขยั้นขยอกันนาน เราก็ตั้งท่าที่คิดว่าเหมือนนักกอล์ฟในทีวี เอาไม้จ่อหลังลูก ตาจ้องที่ลูก ขันไม้ไปข้างหลัง แล้วก็ตี ครั้งที่๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ตีผิดลููกทุกที....จิมเพื่อนเรายิ้มและหัวเราะก๊ากใหญ่ ครั้งที่ ๔ ตาเราจ้องที่ลูกเขม็งแล้วตีอย่างแรง ถูกลูกแต่มันกลิ้งดินไปทางขวามือเพียงไม่กี่ฟุต....เราบอกกับจิมว่า เราชอบกิฬานี้วะ เขาว่าทำไมจึงชอบ "นึกว่ามันง่าย" เราตอบ

บ่ายวันนั้นจิมพาเราไปซื้อไม้กอล์ฟรวมทั้งถุงชุดหนึ่งจากโรงจำนำ ราคา ๕๐ดอล จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ครบ ๑๕ปีพอดี เราชอบกิฬานี้เป็นชีวิตจิตใจ เราตีเราฝึกซ้อมทุกวันก็ว่าได้ ในประเทศนี้กอล์ฟมิใช่กิฬาของคนรวยหรือเจ้าใหญ่นายโต แต่เป็นกิฬาของคนทุกเพศทุกวัย ๓-๔ขวบ หรือ อายุ ๙๐กว่าก็มี คนจนคนรวยเล่นกอล์ฟกันได้ทุกคน เพราะไม่ใช่กิฬาแพง ไม่ต้องมีเงินถัง ไม่ต้องเป็นนายพล นักการเมือง หรือมียศถาบรรดาศักดิ์ สรุปแล้วการเล่นกอล์ฟที่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีพิธีรีตอง คนเดียวก็เล่นได้....ความยากจนที่ทำให้เรามีปมด้อยผ่านพ้นเราไปนานแล้ว ก็ตั้งแต่ปีแรกที่เราได้เราได้งานทำในโรงเรียนในประเทศนี้ กอล์ฟเป็นปมด้อยชิ้นสุดท้ายได้จากเราไปแล้วเหมือนกันเมื่อ ๑๕ ปีก่อน
อดีตครูประชาบาลอย่างเราเล่นกอล์ฟได้ทุกวัน...เราเป็นคนไม่มีปมด้อยอะไรอีกต่อไปแล้ว